8 สิงหาคม 2568
โลกในศตวรรษที่ผ่านมาเคยหมุนรอบศูนย์กลางของมหาอำนาจตะวันตก สหรัฐอเมริกาและยุโรปคือหัวใจของเศรษฐกิจ การเงิน และนวัตกรรมระดับโลก แต่เมื่อเราก้าวเข้าสู่ช่วงท้ายของทศวรรษ 2020 เส้นแบ่งนั้นเริ่มเบลอ
“เอเชีย” ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นโรงงานผลิตราคาถูก กำลังผงาดขึ้นในฐานะศูนย์กลางของอำนาจใหม่ — ไม่ใช่แค่ด้านการผลิต แต่รวมถึงเทคโนโลยี การค้า นวัตกรรม และความเป็นผู้นำเชิงภูมิรัฐศาสตร์
รายงานจากหลายสถาบันทั่วโลกชี้ชัดว่า ภายในปี 2030 เอเชียจะไม่ใช่เพียงผู้มีบทบาทสำคัญ แต่จะเป็น "แรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลก" ทั้งในเชิงมูลค่าทางเศรษฐกิจ จำนวนประชากร การขยายตัวของชนชั้นกลาง และบทบาทด้านการลงทุนข้ามพรมแดน
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกแนวโน้มระดับมหภาค ข้อมูลตัวเลขล่าสุด และผลกระทบต่อกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่มีใครสามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป
การขยายตัวของเอเชียและผลกระทบต่อทิศทางการลงทุนโลก
เมื่อเวทีเศรษฐกิจโลกกำลังเคลื่อนจุดศูนย์กลางจากตะวันตกมาสู่ตะวันออก บทบาทของเอเชียจะไม่ใช่เพียง “โรงงานโลก” อีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในระดับโลก
ภายในปี 2030 โลกอาจได้เห็นการเปลี่ยนขั้วเศรษฐกิจครั้งสำคัญ — เมื่อเอเชียรวมพลังแซงหน้าสหรัฐฯ และยุโรปรวมกัน ในแง่ของ GDP และอิทธิพลทางเศรษฐกิจ
รายงานของ European Commission (ESPAS) คาดว่า จีนจะกลายเป็นประเทศที่มี GDP ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในทศวรรษนี้
ข้อมูลจาก Knowledge4Policy ของสหภาพยุโรปยังระบุว่า เอเชียโดยรวมจะมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจเกิน 50% ของโลกภายในปี 2030
รายงาน Global Trends ของสหรัฐฯ ก็ยืนยันว่า "เอเชียจะกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ ไม่ใช่แค่ภูมิภาคที่เติบโตเร็ว แต่เป็นผู้นำระดับโลก"
ตัวชี้วัดสำคัญ | ปัจจุบัน | ปี 2030 (คาดการณ์) |
---|---|---|
GDP รวมของเอเชีย (%) | ~38% ของโลก | >50% ของโลก |
ประชากรชนชั้นกลาง | 2.3 พันล้านคน | 3.5–4.0 พันล้านคน |
เมืองใหญ่กว่า 10 ล้านคน | 19 เมือง | >30 เมืองในเอเชีย |
สัดส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง | <40% | >60% (นวัตกรรมมาจากเอเชีย) |
ที่มา: McKinsey Global Institute, World Economic Forum, UNCTAD, 2023–2024
จีนเตรียมแซงสหรัฐฯ ด้วย GDP ที่เติบโตเฉลี่ย 4.5% ต่อปี
อินเดียกลายเป็นตลาดใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2030 ในเชิง GDP ตาม PPP แต่ในเชิง GDP ตามมูลค่าตลาด (Nominal) อาจยังอยู่ที่อันดับ 4–5
จากอุตสาหกรรมต้นทุนต่ำ สู่ อุตสาหกรรมเทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงานสะอาด
เอเชียมีบทบาทสำคัญใน AI, ชิป, EV และเทคโนโลยีสีเขียว
เมืองใหญ่ในเอเชียกำลังกลายเป็น "เมกะซิตี้" ที่มีโครงสร้างพื้นฐานทันสมัย
เศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียจะมีมูลค่ามากกว่า US$2.5 ล้านล้าน ภายในปี 2030
Allianz Research ระบุว่า จุดศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก (Economic Gravity) เคลื่อนจากมหาสมุทรแอตแลนติกสู่ภูมิภาคเอเชีย
นักลงทุนจากยุโรปและอเมริกาเหนือเริ่มกระจายพอร์ตการลงทุนมายัง อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย
ยุโรปและสหรัฐฯ ต้องปรับตัวจากแนวคิด “การครองโลก” เป็น “ความร่วมมือกับเอเชีย”
ธุรกิจระดับโลกมองหา “hub” ในเอเชียเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain resilience)
เทคโนโลยีสีเขียว, Circular Economy, Data Center, โลจิสติกส์, EV และ Smart City
ประเทศไทย, มาเลเซีย, อินเดีย, เวียดนาม กำลังแข่งขันเพื่อเป็นศูนย์กลางภูมิภาค
ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ โลกได้เปลี่ยนจากยุคแห่ง "อำนาจกระจุก" สู่ "อำนาจกระจาย"
เอเชียคือภูมิภาคที่สะสมพลังเงียบๆ มาหลายปี จนถึงวันนี้ เสียงของมันเริ่มชัดเจนขึ้นบนเวทีโลก ไม่ว่าจะเป็นในรูปของตัวเลข GDP เมืองอัจฉริยะ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ หรือการออกแบบห่วงโซ่อุปทานของโลกใหม่
การเปลี่ยนขั้วนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ชั่วคราว แต่เป็นโครงสร้างใหม่ของโลกที่กำลังก่อตัว — และจะดำรงอยู่ต่อเนื่องในหลายทศวรรษข้างหน้า
สำหรับนักลงทุน ผู้นำธุรกิจ หรือผู้กำหนดนโยบาย การเพิกเฉยต่อความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ต่างจากการปิดแผนที่ในขณะที่คลื่นเศรษฐกิจลูกใหม่กำลังมาถึง
หากเอเชียคืออนาคต — คำถามที่สำคัญจึงไม่ใช่ว่า “จะลงทุนในเอเชียดีหรือไม่?”
แต่คือ “จะเริ่มอย่างไร และเร็วแค่ไหน?”
ปี 2030 ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่คือ “เส้นตัด” ของโลกใหม่ที่จุดศูนย์ถ่วงกำลังเบนมาทางเอเชีย
ประเทศและองค์กรใดที่มองเห็นล่วงหน้า — และเริ่มวางแผนวันนี้ — ย่อมมีโอกาสอยู่เหนือความเปลี่ยนแปลง
“จุดศูนย์กลางของโลกอาจไม่เคลื่อนไหวเร็ว... แต่ผู้ที่เดินไวจะถึงมันก่อน”
European Commission. (2020). ESPAS: Global Trends to 2030
McKinsey Global Institute. (2019). Asia’s future is now
World Economic Forum. (2024). Why Asia’s time is now
Allianz Trade. (2023). The world is moving east – fast
Knowledge4Policy. (2022). Power shifts towards East and South
The Guardian. (2012). China’s economy to overtake US by 2030
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |