3 สิงหาคม 2568
แหล่งอ้างอิง: ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ), UNESCO, Wikipedia, Chicago Journal of International Law (2014), Dipublico International Law Blog (2013), Tulane Journal of International and Comparative Law, Vol. 23 (2014), ICJ Official Case 151
ประวัติศาสตร์ของปราสาทพระวิหารมิได้สะท้อนเพียงแค่ศิลปวัฒนธรรมเขมรโบราณ
แต่ยังสะท้อนพลวัตของอำนาจรัฐ, สนธิสัญญาอาณานิคม และการเมืองระหว่างประเทศ
จากแผนที่ Annex I สู่คำพิพากษาศาลโลก และสงครามชายแดนที่ยังไม่สิ้นสุด
ปราสาทพระวิหาร (Prasat Preah Vihear) เป็นโบราณสถานสมัยอาณาจักรขอม ตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาพนมดงรัก บริเวณหน้าผาสูงประมาณ ๕๒๕ เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ช่วงเวลาการก่อสร้างเริ่มต้นตั้งแต่ราวศตวรรษที่ ๙ และได้รับการต่อเติมในหลายยุค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ และพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒
โบราณสถานแห่งนี้เป็นเทวสถานศิวลึงค์ที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเรียงตามแนวเหนือ–ใต้ ซึ่งถือว่าแตกต่างจากโบราณสถานขอมทั่วไปที่มักเรียงในแนวตะวันออก–ตะวันตก ทั้งยังสะท้อนอิทธิพลของทั้งศาสนาฮินดูและพุทธในช่วงเวลาต่างๆ ของอาณาจักรเขมรโบราณ
ในยุคที่ฝรั่งเศสปกครองอินโดจีน ประเทศฝรั่งเศสและสยามได้ลงนามในสนธิสัญญาเฟรนโก–สยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ (ค.ศ. 1904) ซึ่งกำหนดหลักการให้ใช้แนวสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักเป็นพื้นฐานในการแบ่งเขตแดนระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการสำรวจร่วมและจัดทำแผนที่ประกอบในภายหลัง
เมื่อสำรวจเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๕๐ (ค.ศ. 1907) ฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ Annex I ซึ่งแสดงปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา แต่ไทยไม่ได้คัดค้านแผนที่นี้เลย ทำให้กลายเป็นหลักฐานสำคัญในภายหลังว่าปราสาทนับเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชา
แม้ประเทศไทยจะไม่ได้ลงนามรับรองแผนที่ฉบับนั้นโดยชัดแจ้ง แต่การที่ไทยไม่ได้คัดค้านแผนที่ Annex I ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสในช่วงเวลานั้น ก็ถือว่าไทย 'ยินยอมโดยเฉย' (acquiescence) ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งหมายถึงการยอมรับโดยปริยายผ่านการไม่คัดค้านอย่างทันท่วงที
ภายหลังการได้รับเอกราชของกัมพูชาใน พ.ศ. ๒๔๙๗ ไทยได้แสดงสิทธิในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร โดยอ้างแนวสันปันน้ำเป็นพรมแดนธรรมชาติ แทนที่จะยึดตามแผนที่ Annex I ของฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายไทยเห็นว่าไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญาดั้งเดิม
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ กัมพูชาได้ยื่นฟ้องประเทศไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) โดยกล่าวหาว่าประเทศไทยละเมิดอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ศาล ICJ มีคำวินิจฉัยว่าตนมีอำนาจในการพิจารณาคดี และรับคำฟ้องของกัมพูชาไว้พิจารณาอย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ (ค.ศ. 1962) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีคำพิพากษาด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา และประเทศไทยมีพันธะต้องเคารพสิทธิดังกล่าว นอกจากนี้ ศาลยังมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ประเทศไทยถอนกำลังทหารและตำรวจออกจากพื้นที่ และส่งคืนโบราณวัตถุที่ได้นำออกไป
ประเทศไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยถอนกำลังออกจากปราสาทพระวิหารในต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๖ และกัมพูชาได้จัดพิธีรับมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการ รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยเดินทางเข้าชมปราสาทโดยไม่ต้องขอวีซ่าเป็นกรณีพิเศษในช่วงเวลานั้น เพื่อแสดงมิตรภาพระหว่างสองประเทศ
แม้ว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีคำพิพากษาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา แต่อาณาเขตรอบตัวปราสาท โดยเฉพาะบริเวณทางเข้าและแนวพื้นที่ป่าริมภูเขาพนมดงรัก ยังคงเป็นพื้นที่ที่ทั้งไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน ซึ่งได้นำไปสู่เหตุการณ์ความขัดแย้งและการปะทะชายแดนหลายครั้งในช่วง พ.ศ. ๒๕๕๑–๒๕๕๔
เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ (ค.ศ. 2008) องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้มีมติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลกในนามของประเทศกัมพูชา แม้รัฐบาลไทยจะมีจุดยืนคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่าพื้นที่บางส่วนรอบปราสาทยังเป็นเขตพิพาทที่ยังมิได้ตกลงแนวเขตแดนอย่างชัดเจน แต่คณะกรรมการมรดกโลกก็มีมติเห็นชอบให้จดทะเบียนในที่สุด ซึ่งนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตและเหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาในเวลาต่อมา
เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ (ค.ศ. 2011) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้มีคำสั่งมาตรการชั่วคราว โดยให้ไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone) เพื่อป้องกันการปะทะระหว่างทั้งสองฝ่าย ขณะที่ศาลอยู่ระหว่างพิจารณาคำร้องของกัมพูชาในการตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕
ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๘ ได้เกิดเหตุปะทะอย่างรุนแรงระหว่างไทยและกัมพูชาในหลายพื้นที่ตามแนวชายแดน ซึ่งรวมถึงบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร เหตุการณ์ดังกล่าวมีสาเหตุจากข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดเขตแดน การวางทุ่นระเบิด และการใช้กำลังทางทหารของทั้งสองฝ่าย ซึ่งนำไปสู่ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการอพยพของประชาชนกว่า 300,000 คนจากทั้งสองประเทศ
มีการเจรจาไกล่เกลี่ยโดยสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้นำจากไทยและกัมพูชาเข้าร่วมการประชุมอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ยังมีการเรียกร้องจากประชาคมระหว่างประเทศให้ทั้งสองฝ่ายยุติปฏิบัติการทางทหาร และดำเนินการหยุดยิงอย่างถาวรภายใต้การสังเกตการณ์ขององค์กรระหว่างประเทศ
เหตุการณ์สำคัญ |
วันที่ (พ.ศ.) |
รายละเอียด |
---|---|---|
สนธิสัญญาเฟรนโก–สยาม | ๒๔๔๗–๒๔๕๐ (1904–1907) | ใช้สันปันน้ำเป็นแนวเขต โดยแนบแผนที่ Annex I |
ไทยเข้าควบคุมปราสาทพระวิหาร | พ.ศ. ๒๔๙๗ (ค.ศ. 1954) |
หลังฝรั่งเศสถอนตัว ไทยอ้างแนวสันปันน้ำเป็นเขตแดน |
กัมพูชาฟ้อง ICJ | พ.ศ. ๒๕๐๒ (ค.ศ. 1959) |
ยื่นฟ้องไทยต่อศาลโลก เรื่องสิทธิในปราสาท |
ศาลโลกพิพากษาให้เป็นของกัมพูชา | ๑๕ มิ.ย. ๒๕๐๕ (ค.ศ. 1962) |
ไทยต้องถอนกำลังและส่งคืนโบราณวัตถุ |
ไทยถอนกำลัง – กัมพูชารับคืน | ต้นปี ๒๕๐๖ (ค.ศ. 1963) |
ไทยถอนทหาร – กัมพูชาจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ |
UNESCO ขึ้นทะเบียนมรดกโลก |
๘ ก.ค. ๒๕๕๑ |
ขึ้นทะเบียนในนามกัมพูชา ไทยคัดค้านพื้นที่ทับซ้อน |
ศาลโลกมีคำสั่งชั่วคราว (ICJ) | ๑๘ ก.ค. ๒๕๕๔ (ค.ศ. 2011) |
สั่งถอนทหารจาก “เขตปลอดทหารชั่วคราว” |
ศาลโลกตีความคำพิพากษาเดิม | ๑๑ พ.ย. ๒๕๕๖ (ค.ศ. 2013) |
พื้นที่รอบปราสาทบางส่วนอยู่ในอธิปไตยกัมพูชา |
ความขัดแย้งชายแดนรุนแรง | พ.ค.–ก.ค. ๒๕๖๘ (ค.ศ. 2025) |
เกิดการปะทะ–เสียชีวิต–อพยพกว่า 300,000 คน |
การที่ประเทศไทยต้อง "สูญเสีย" การควบคุมปราสาทพระวิหาร เกิดขึ้นภายหลังจากคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งประเทศไทยได้ปฏิบัติตามโดยถอนกำลังในภายหลัง
แม้ปราสาทพระวิหารจะอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา แต่อาณาบริเวณโดยรอบยังคงเป็นพื้นที่พิพาทที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งเป็นระยะ
แม้ปัจจุบันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวปราสาทโดยตรง แต่ความคลุมเครือเกี่ยวกับแนวเขตแดนยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คดีพิพาทเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย สืบเนื่องจากคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice - ICJ) เมื่อปี พ.ศ. 2505 ซึ่งมีคำวินิจฉัยว่า:
"ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และประเทศไทยมีพันธกรณีต้องถอนกำลังทหารหรือเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ ณ ที่นั้นหรือในบริเวณใกล้เคียง และต้องคืนวัตถุโบราณที่นำออกไปจากปราสาท"
แม้คำพิพากษาจะมีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างถาวร แต่ไม่ได้กำหนดแนวพรมแดนหรือขอบเขตภูมิศาสตร์ไว้โดยชัดแจ้ง อันเป็นเหตุให้เกิดความคลุมเครือเกี่ยวกับความหมายของคำว่า ‘บริเวณใกล้เคียง’ (vicinity)
ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อ ICJ เพื่อขอให้ตีความคำพิพากษาเดิมในปี พ.ศ. 2505 โดยให้เหตุผลว่า:
ประเทศไทยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเดิมอย่างครบถ้วน
ประเทศไทยยังคงมีกำลังทหารประจำอยู่ในพื้นที่ซึ่งกัมพูชาเห็นว่าอยู่ภายใต้อธิปไตยของตนตามคำวินิจฉัยปี พ.ศ. 2505
โดยกัมพูชาขอให้ศาลระบุว่า คำว่า "บริเวณโดยรอบ" หรือ “vicinity” ในคำพิพากษานั้น ครอบคลุมพื้นที่บน "สันเขา" (promontory) รอบปราสาททั้งหมด รวมถึงบริเวณที่ไทยยังอ้างสิทธิเข้าไปตั้งกำลังทหาร
ก่อนการพิจารณาตีความคำพิพากษาเดิม ศาล ICJ ได้มีคำสั่งมาตรการชั่วคราว (Provisional Measures) เพื่อป้องกันความรุนแรงเพิ่มเติม เนื่องจากมีการปะทะระหว่างกำลังทหารทั้งสองฝ่ายในช่วงต้นปี 2554 ศาลจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้:
ศาลสั่งให้ไทยและกัมพูชา ถอนกำลังทหาร ออกจากพื้นที่ซึ่งกำหนดให้เป็น “เขตปลอดทหารชั่วคราว” ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ใกล้เคียงกับปราสาทพระวิหาร
ศาลเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่าย หลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
ศาลระบุให้ทั้งสองประเทศ ร่วมมือกับอาเซียน (ASEAN) หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในการสังเกตการณ์พื้นที่
คำสั่งชั่วคราวนี้ ไม่ได้ตัดสินเรื่องอธิปไตยหรือพรมแดน แต่เป็นคำสั่งในลักษณะ “รักษาการณ์” ระหว่างรอคำพิพากษาหลัก
หลังจากกระบวนการไต่สวนที่ยาวนานและมีการส่งพยานหลักฐานจากทั้งสองฝ่าย ศาล ICJ ได้มีคำพิพากษาเกี่ยวกับการตีความคำตัดสินปี พ.ศ. 2505 โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
“The Court concludes that Cambodia had sovereignty over the whole territory of the promontory of Preah Vihear.”
— ICJ Judgment, 11 November 2013
หมายความว่า กัมพูชามีอธิปไตยเหนือบริเวณที่เป็นสันเขาทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดที่ปราสาทตั้งอยู่ รวมถึงบริเวณใกล้เคียงที่อยู่ในแนวต่อเนื่องของปราสาท
ศาลยืนยันว่า คำพิพากษาเดิมปี พ.ศ. 2505 ได้ผูกพันให้ประเทศไทย ต้องถอนกำลังทหารหรือเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกจากสันเขาดังกล่าว ซึ่งรวมถึงทุกส่วนของ promontory (สันเขาที่ปราสาทตั้งอยู่)
อย่างไรก็ตาม ศาล ICJ ระบุว่า:
“The Court does not pronounce on the exact course of the boundary line between the two States.”
แปลว่า ศาล ไม่วินิจฉัยหรือกำหนดเส้นพรมแดนทั้งหมด ระหว่างไทยกับกัมพูชา นอกเหนือจากพื้นที่ที่มีการตีความว่าอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา
คำว่า “vicinity of the Temple” ซึ่งปรากฏในคำพิพากษาเดิมปี พ.ศ. 2505 เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญของการตีความ เนื่องจากไม่มีการให้คำจำกัดความแน่ชัดในเชิงภูมิศาสตร์
ในคำพิพากษาปี พ.ศ. 2556 ศาลได้ใช้แผนที่ ฝรั่งเศส-สยาม ปี ค.ศ. 1907 และพิจารณาหลักฐานภูมิประเทศร่วมด้วย เพื่อระบุว่า "vicinity" ที่ศาลพูดถึงนั้นหมายถึงบริเวณ promontory (สันเขาที่ปราสาทตั้งอยู่) โดยไม่มีการขยายขอบเขตไปยังภูเขาภูมะเขือ หรือภูมะขามป้อมที่อยู่ห่างออกไป
คำพิพากษาปี พ.ศ. 2556 ตีความคำพิพากษาเดิม พ.ศ 2505 โดยไม่ถือว่าเป็นการตัดสินคดีใหม่
กัมพูชาได้รับการรับรองว่า มีอธิปไตยเหนือบริเวณสันเขาที่ปราสาทตั้งอยู่
ไทยไม่มีพันธกรณีต้องถอนกำลังจากพื้นที่นอกบริเวณสันเขา เช่นภูเขาภูมะเขือ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในคำพิพากษาเดิม
ศาล ไม่ได้กำหนดเส้นพรมแดนใหม่ การจัดทำแผนที่เขตแดนต้องอาศัยการเจรจาระหว่างรัฐ
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |