3 สิงหาคม 2568
แหล่งอ้างอิง:
– กระทรวงกลาโหมไทย, กองทัพไทย, สำนักข่าวไทย และแหล่งข่าวต่างประเทศ เช่น Reuters, AP News, The Guardian
– คลิปวิดีโอและภาพถ่ายที่เผยแพร่โดยฝ่ายความมั่นคง
– เอกสารเปิดเผยของกองทัพสหรัฐฯ และผู้พัฒนาอาวุธเลเซอร์ เช่น Raytheon Technologies, HENSOLDT
– ข้อมูลจากบทวิเคราะห์ทางทหารและแถลงการณ์จากทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา
หมายเหตุ: บทความและภาพประกอบนี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ด้านความมั่นคง โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ไม่มีเจตนาโจมตี หรือละเมิดต่อประเทศ บุคคล หรือองค์กรใด ข้อมูลบางส่วนอาจอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง และภาพประกอบใช้เพื่ออธิบายบริบทเท่านั้น มิใช่หลักฐานหรือข้อสรุปทางกฎหมาย
ไม่ใช่แค่ปีกและใบพัด — โดรนกลายเป็นสัญญาณเตือนความมั่นคงแห่งยุคใหม่
ไทยตอบโต้ด้วยเลเซอร์พลังงานสูง, เรดาร์ทันสมัย, และเครือข่ายประชาชนทั่วแนวป่าและลำน้ำ
ท่ามกลางข้อกล่าวหา-ปฏิเสธ ทั้งสองฝ่ายเดินเกมข่าวกรองทับซ้อนมากกว่ากระสุนจริง
โดรนข้ามแดน?
ไม่ใช่แค่เครื่องจักร แต่คือเกมสงคราม
ทางการไทย ระบุว่าในช่วงเริ่มปะทะเมื่อประมาณวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 มีอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ของกัมพูชาปรากฏในบริเวณหน้าปราสาทตาเมือนธม (Ta Muen Thom) โดยวิดีโอที่กองทัพไทยเผยแพร่ แสดงภาพโดรนปล่อยระเบิดแบบแรงโน้มถ่วง (gravity‑dropped munitions) ไปยังเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชา พร้อมทั้งมีภาพโดรนตกลงมาเหมือนนกติดไฟ (จากคลิปประชาสัมพันธ์ของไทย)
กัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธว่าไม่ได้บินโดรนเข้าไปในเขตไทย และกล่าวว่าไทยต่างหากที่ใช้โดรนล้ำอากาศของกัมพูชา
กองทัพไทยระบุว่า มีอากาศยานไร้คนขับไม่ทราบฝ่ายจำนวน 4 ลำ ถูกยิงตกในช่วงก่อนหน้านั้นบริเวณจังหวัดจันทบุรีและตราด พร้อมกันนี้ได้ออกมาตรการห้ามใช้งานโดรนในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและลดความเสี่ยงต่อภารกิจทางทหาร
คำสั่งห้ามบินโดรนทั่วไป: กองทัพไทยได้ประกาศห้ามใช้งานอากาศยานไร้คนขับประเภทพลเรือน (civilian drones) โดยเฉพาะในเขตชายแดนและพื้นที่ทางทหาร เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายหรือรบกวนภารกิจทางทหาร โดยได้มีการเตือนว่าผู้ฝ่าฝืนอาจถูกดำเนินคดีและมีโทษตามกฎหมาย รวมถึงโทษจำคุก
ระบบต้านโดรนใหม่: เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 กองทัพเรือไทยได้สาธิตระบบอาวุธเลเซอร์พลังงานสูง (High‑Energy Laser Weapon) ซึ่งพร้อมใช้งานเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากอากาศยานไร้คนขับที่อาจล่วงล้ำเข้ามาจากฝั่งกัมพูชา
ปรากฏข่าวสารในโซเชียลมีเดียว่า “อาจมีทหารรับจ้างรัสเซีย” ช่วยกัมพูชาใช้โดรนฆ่าตัวตาย (kamikaze drones) โจมตีไทย แม้ในช่วงที่มีการตกลงหยุดยิงเป็นการชั่วคราวระหว่างสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่าง การตรวจสอบข้อเท็จจริง และยังไม่มีหลักฐานเป็นทางการยืนยัน
แม้จะมีข้อกล่าวหาว่ากัมพูชาใช้โดรนล่วงล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย แต่ทางกัมพูชาก็ยังคงปฏิเสธ ขณะที่ฝ่ายไทยเองก็ยังไม่ได้เปิดเผยหลักฐานที่ชัดเจนซึ่งสามารถยืนยันได้โดยตรงว่าเป็นโดรนจากฝั่งกัมพูชา
ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ริเริ่มใช้อากาศยานไร้คนขับโดยเจตนาเข้าสู่เขตแดนของตน จึงยังไม่มีข้อสรุปหรือหลักฐานที่แน่ชัดว่า “โดรนจากกัมพูชาเข้ามาก่อกวนในไทย” จริงตามที่กล่าวอ้าง
ด้านหลักฐาน: ฝ่ายไทยเผยแพร่คลิปวิดีโอแสดงภาพการโจมตีด้วยโดรนต่อเป้าหมายของกองกำลังกัมพูชาในแนวพื้นที่ Preah Vihear / Ta Kray แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นโดรนที่บินข้ามแดนมาจากฝั่งกัมพูชา หรือเป็นโดรนของฝ่ายไทยเองหรือจากพันธมิตร
ด้านฝ่ายกัมพูชา: แถลงปฏิเสธอย่างแข็งขัน โดยระบุว่าไทยเป็นฝ่ายที่ล่วงล้ำเขตน่านฟ้ากัมพูชา พร้อมยืนยันว่าไม่มีการส่งโดรนจากฝั่งกัมพูชาเข้าสู่ประเทศไทยแต่อย่างใด
มาตรการของฝ่ายไทย: ประกอบด้วยการดำเนินการทางกฎหมาย เช่น การห้ามใช้งานอากาศยานไร้คนขับประเภทพลเรือนในพื้นที่เสี่ยง, การนำระบบป้องกันโดรนแบบใหม่ที่ใช้เลเซอร์มาใช้งาน และการอพยพประชาชนในพื้นที่ชายแดนเพื่อความปลอดภัยจากสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
การใช้ F‑16 ในการโจมตีแม่นยำ
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กองทัพไทยได้ส่งเครื่องบินขับไล่ F‑16 เข้าโจมตีเป้าหมายทางทหารของกัมพูชา ซึ่งนับเป็นการใช้กำลังทางอากาศครั้งสำคัญ ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวโทษกันว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ริเริ่มการใช้กำลัง
จัดเตรียมกำลังปฏิบัติการระดับสูง
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ไทยได้เตรียมความพร้อมสำหรับปฏิบัติการทางทหารในระดับสูง หากความตึงเครียดกับกัมพูชาทวีความรุนแรงจนถึงขั้นเกิดสงคราม พร้อมยืนยันว่าหน่วยข่าวกรองตรวจพบการระดมพลและการเคลื่อนไหวของกองทัพกัมพูชาใกล้แนวชายแดน
การใช้ระบบ anti‑drone ขั้นสูง
ราชนาวีไทยได้สาธิตระบบอาวุธเลเซอร์พลังงานสูงซึ่งอยู่ในระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับใช้งานเพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากอากาศยานไร้คนขับที่อาจล่วงล้ำเข้ามาจากฝั่งกัมพูชา โดยระบบดังกล่าวอาจอิงแนวคิดหรือเทคโนโลยีจากระบบ HELIOS หรือ HELWS ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับรับมือกับฝูงโดรน (drone swarm) อย่างมีประสิทธิภาพ
การติดตามความเคลื่อนไหวกองกำลังกัมพูชา
หน่วยข่าวกรองไทยรายงานว่า กัมพูชาได้เพิ่มการระดมพลและขยายการจัดตั้งกองกำลังในพื้นที่ใกล้แนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลไทยต้องประกาศความพร้อมในการรับมือทั้งในกรณีการเจรจาสันติวิธีและกรณีที่สถานการณ์อาจลุกลามสู่ความขัดแย้งทางทหาร
การเจรจาทางการทูตควบคู่ยุทธศาสตร์ทหาร
น.ส. แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายรัฐบาล ได้แสดงจุดยืนว่าประเทศไทยต้องการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งผ่านแนวทางสันติวิธี แต่ก็พร้อมตอบโต้หากกัมพูชายังคงกระทำการที่อาจเป็นภัยต่อเสถียรภาพชายแดน ทั้งนี้ ได้มีการหารือผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ และเสนอให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลังทหารกลับไปยังแนวพื้นที่ที่ได้ตกลงร่วมกันไว้เมื่อปี 2024 เพื่อลดระดับความตึงเครียด
สนับสนุนจากพันธมิตรต่างประเทศ
แม้ในช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียด จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวด้านการสนับสนุนอาวุธเพิ่มเติมจากจีน แต่ประเทศไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากอิสราเอล เช่น ระบบจรวดนำวิถีและอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับระบบข่าวกรองและการป้องกันภัยคุกคามทางอากาศของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ระบบเลเซอร์: เช่น HELIOS ของสหรัฐฯ และ HELWS ของ Raytheon UK ได้รับการออกแบบให้สามารถยิงสกัดเป้าหมายทางอากาศหลายเป้าหมายพร้อมกัน โดยมีต้นทุนต่อการยิงต่ำกว่าการใช้ขีปนาวุธแบบดั้งเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
การประมวลผลข่าวกรอง: ประเทศไทยบูรณาการข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม การตรวจสอบภาคสนาม และข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองหลายฝ่าย เพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์อย่างแม่นยำ
การป้องกันประชาชนและการประชาสัมพันธ์: รัฐบาลไทยได้ดำเนินแผนการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างเป็นระบบ พร้อมจัดให้มีการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าผ่านช่องทางสื่อสารต่างๆ และออกมาตรการจำกัดการใช้งานโดรนพลเรือนในพื้นที่สาธารณะ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนภารกิจด้านความมั่นคง
แสงแห่งการสกัด: ระบบเลเซอร์พลังสูงของไทยในสมรภูมิโดรน
เมื่อสนามรบเปลี่ยนจากเหล็กกล้าเป็นพลังงานแสง — ไทยก้าวสู่ยุคอาวุธเลเซอร์อย่างเงียบๆ แต่จริงจัง
เลเซอร์ไม่ใช่เพียงแสง — มันคือคำตอบของสงครามยุคใหม่
โครงการของไทย
กองทัพบกไทย โดยกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ได้ทำการทดสอบระบบเลเซอร์พลังงานสูง ซึ่งถือเป็นอาวุธพลังงานที่สามารถยิงสกัดและสร้างความเสียหายต่ออากาศยานไร้คนขับ (โดรน) หลายเป้าหมายพร้อมกัน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน และระบุว่าระบบดังกล่าวได้รับการยืนยันว่าอยู่ในระดับปฏิบัติการจริง ไม่ใช่เพียงต้นแบบหรือการสาธิต
ระบบเลเซอร์เช่น HELIOS ของสหรัฐฯ ซึ่งมีพลังระหว่าง 60–120กิโลวัตต์ ได้รับการติดตั้งบนเรือพิฆาตของกองทัพเรือสหรัฐฯ สำหรับใช้ในการยิงทำลายโดรน และรบกวนการทำงานของระบบเซ็นเซอร์ของเป้าหมายในระยะหลายกิโลเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแวดล้อมและลักษณะของเป้าหมาย
HELWS (High Energy Laser Weapon System) จาก Raytheon UK เป็นระบบอาวุธเลเซอร์ที่สามารถติดตั้งบนยานยนต์เคลื่อนที่ได้ พร้อมใช้งานร่วมกับระบบควบคุมการป้องกันภัยทางอากาศ และได้รับการออกแบบมาเพื่อจัดการกับฝูงโดรน (drone swarm) จากภาคพื้นดินอย่างมีประสิทธิภาพ
Hard kill: ใช้เลเซอร์พลังงานสูงยิงไปยังเป้าหมายจนเกิดความร้อนสะสม ทำให้โครงสร้างภายนอกของโดรนเสียหายหรือทะลุพรุน
Soft kill (dazzling): ใช้ลำแสงเลเซอร์รบกวนระบบเซ็นเซอร์ของโดรน ทำให้ไม่สามารถนำทางหรือรับข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้โดรนหลงทิศทางหรือหยุดการทำงานกลางอากาศ
ประสิทธิภาพต้นทุนต่ำ: ระบบยิงเลเซอร์ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้ต้นทุนการยิงต่อเป้าหมายต่ำกว่าการใช้ขีปนาวุธอย่างมีนัยสำคัญ
📌 ประเทศที่มีระบบใกล้เคียง: อิสราเอล (Iron Beam), สหรัฐอเมริกา (HELIOS, HELWS), สหราชอาณาจักร (DragonFire), ฝรั่งเศส (HELMA‑P) เป็นต้น
กองทัพบกไทย ได้ให้อำนาจแก่หน่วยรักษาความมั่นคงชายแดน (ภาค 1–4) ให้สามารถใช้งานมาตรการตอบโต้แบบ soft kill (การรบกวน) และ hard kill (การทำลาย) โดยพิจารณาตามสถานการณ์และพื้นที่เป็นหลัก เช่น ในพื้นที่แนวปะทะอาจจำเป็นต้องใช้ทั้งสองรูปแบบร่วมกัน ในขณะที่พื้นที่แนวหลังควรเน้นการใช้ soft kill เป็นอันดับแรก และหากไม่เกิดผลจึงค่อยใช้ hard kill ด้วยอาวุธที่มีความแม่นยำสูง เพื่อลดผลกระทบต่อพลเรือนโดยรอบ
ทอ.ไทย รายงานพบ flotilla drone หลายลำบินเหนือฐานทัพสำคัญ โดยมุ่งเน้นตรวจสอบการข่าว เสริมความร่วมมือด้านความปลอดภัย และให้มีการยิงสกัดแบบทันทีหากพิจารณาว่าเชื่อมโยงกับกิจกรรมจารกรรมหรือลอบสังเกตการณ์
มีการจัดตั้งสายด่วน “1374” เพื่อให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการพบเห็นอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ที่อาจผิดกฎหมาย หรือมีพฤติกรรมเข้าข่ายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง
กองทัพได้จัดทำแผนประชาสัมพันธ์หลายภาษา เพื่อเตือนห้ามมิให้มีการบินอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เหนือพื้นที่ทางทหาร เนื่องจากการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 122 (ว่าด้วยการจารกรรม), พระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, และพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ซึ่งบางกรณีมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต
กองทัพไทยได้นำเรดาร์ TRML‑3D/32 ของบริษัท HENSOLDT ซึ่งติดตั้งรวมในระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ MICA VL (Vertical Launch) มาใช้ในภารกิจเฝ้าระวังและตรวจจับอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ที่บินต่ำ รวมถึงเป้าหมายขนาดเล็กในพื้นที่ชายแดน
การประมวลผลข่าวกรองภาคพื้นประกอบด้วยภาพถ่ายดาวเทียม การลาดตระเวนและตรวจจับในพื้นที่จริง ตลอดจนข้อมูลจากประชาชนและฐานข้อมูลของศูนย์อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพื่อประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงและเตรียมมาตรการตอบโต้ล่วงหน้าอย่างรอบด้าน
ประเภท | รายละเอียด |
---|---|
Laser DEW | ระบบเลเซอร์พลังสูงที่สามารถทำลายโดรนได้ทันที หรือบลาลเซ็นเซอร์โดรนให้ใช้งานไม่ได้ |
Soft vs Hard Kill | บริเวณแนวหน้าใช้ทั้ง soft kill และ hard kill; พื้นที่หลังเน้น soft kill ก่อน |
ข่าวกรองกับ radar | ใช้เรดาร์ TRML‑3D หลีกเลี่ยงโดรนต่ำ, รวมข้อมูลภาพดาวเทียม, รายงานพลเรือน |
ประชาสัมพันธ์และกฎหมาย | ห้ามบินโดรน, hotline 1374, และเป้าหมายรับโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต |
ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน ว่า “โดรนจากกัมพูชา” ได้บินเข้าไทยจริง
มี ข้อกล่าวหาสองฝ่าย ที่ต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุ
ไทยดำเนินมาตรการเข้มในพื้นที่ชายแดน ทั้งคำสั่งห้ามบินโดรนและการใช้อาวุธต้านโดรน
ข่าวลือเกี่ยวกับทหารรับจ้างหรือโดรนรัสเซียยังไม่ยืนยัน ฯลฯ
วิเคราะห์เชิงอนาคต
การใช้งานของ "ระบบเลเซอร์พลังงานสูงของไทย" มีความสอดคล้องกับแนวคิดของระบบอย่าง HELIOS และ HELWS ซึ่งให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพด้านต้นทุน (cost-effectiveness), ความสามารถในการยิงต่อเนื่องหลายครั้ง (multi-shot capability), การใช้พลังงานไฟฟ้า และความแม่นยำในการสังหารเป้าหมาย
ประเทศไทยควรพัฒนาการบูรณาการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับระบบตรวจจับและตอบโต้ภัยทางอากาศ เช่นเดียวกับโครงการวิจัยของ Naval Postgraduate School ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสามารถลดเวลาในการล็อกเป้าหมาย (lock-on) ของฝูงโดรน (drone swarm) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความเร็วและความแม่นยำ
ควรสนับสนุนการทดสอบระบบในสภาพแวดล้อมจริงบริเวณพื้นที่ชายแดน รวมถึงการจัดหาและติดตั้งเครือข่ายเรดาร์และอุปกรณ์ตรวจการณ์ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ลำน้ำและแนวป่าอย่างทั่วถึง
สรุปมาตรการหลักทางด้านข่าวกรองและการตอบโต้นั้น
แกนสำคัญ | มาตรการและยุทธศาสตร์ |
---|---|
ข่าวกรองชายแดน | เฝ้าสังเกตการเคลื่อนที่ของกองกำลังกัมพูชาอย่างใกล้ชิด เตรียมใช้กำลังหากจำเป็น |
การใช้อากาศยานทหาร | ใช้ F‑16 โจมตีเป้าหมายกัมพูชาในกรณีตอบโต้ทันทีเมื่อเกิดความรุนแรง |
ระบบต่อต้านโดรน (Anti‑drone) | ระบบเลเซอร์พลังสูง เช่น HELIOS / HELWS ใช้สกัด drone ที่อาจบินล้ำจากกัมพูชา |
มาตรการทางกฎหมายและประชาสัมพันธ์ | คุมเข้มการใช้งานโดรนพลเรือนในพื้นที่ชายแดน แจ้งเตือนประชาชน และจัดสื่อข่าวสารผ่านกระทรวงทบวงหลายช่องทาง |
การทูตควบคู่ | เจรจาผ่าน ASEAN, UN และหารือสองฝ่ายเพื่อลดเคร่งเครียด พร้อมคงจุดยืนดินแดนรอบ Preah Vihear |
ระบบเลเซอร์พลังสูงแบบ Directed Energy Weapon (DEW) ทดสอบและประกาศใช้งานจริงแล้ว
แนวทางตอบโต้ที่จะแยกใช้ soft kill และ hard kill ตามความเหมาะสมของสถานที่
การเสริมข่าวกรองจาก เรดาร์ ดาวเทียม และภาคประชาชน เพื่อเพิ่มความแม่นยำและเตรียมการล่วงหน้าทางยุทธศาสตร์
นโยบายทางกฎหมายและการสื่อสารประชาสัมพันธ์เข้มข้น เพื่อคุมโดรนพลเรือนและลดความเสี่ยงภายในประเทศ
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |