2 สิงหาคม 2568
หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจเชิงเปรียบเทียบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย–กัมพูชาในมุมมองของบทเรียนในประเทศกัมพูชาเท่านั้น ผู้จัดทำไม่มีเจตนาพาดพิง ดูหมิ่น หรือแสดงความเกลียดชังต่อบุคคล ชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ข้อมูลในบทความอ้างอิงจากการวิเคราะห์ทางวิชาการและไม่จำเป็นต้องสะท้อนจุดยืนของฝ่ายใดโดยเฉพาะ
ประวัติศาสตร์กัมพูชา-ไทย ในบทเรียนของกัมพูชา
ภาพสะท้อนผ่านสายตาและตำราในประเทศเพื่อนบ้าน
เมื่อ “ความจริง” มีหลายมุม
ประวัติศาสตร์ระหว่างกัมพูชาและไทยเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยการแย่งชิง ความรุ่งเรือง และความขัดแย้งยาวนานหลายศตวรรษ แต่ในขณะที่ประเทศไทยเรียนรู้เรื่องราวเหล่านี้จากมุมมองของตนเอง กัมพูชาก็มีมุมมองและการตีความประวัติศาสตร์ของตนเช่นกัน โดยเฉพาะในบทเรียนวิชาประวัติศาสตร์ระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทรงจำร่วมของชาติกัมพูชาต่อบทบาทของไทยในอดีต
ตำรากัมพูชาเน้นว่า การล่มสลายของจักรวรรดิขอม (Angkor Empire) ส่วนหนึ่งเกิดจากการรุกรานของสยาม (ไทยในยุคอยุธยา) โดยเฉพาะการบุกโจมตีเมืองนครธมในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15
อ้างถึงปี 1431 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพอยุธยาเข้ายึดนครธม ถือว่าเป็น "จุดจบของยุครุ่งเรืองของอารยธรรมขอม"
ไทยถูกมองว่าเป็นผู้ที่ “ช่วงชิง” ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมไปเป็นของตน เช่น การนำศิลปะและสถาปัตยกรรมขอมไปใช้ในอยุธยา
มีการกล่าวในตำราว่า ไทยได้ “ลอกเลียน” หรือ “ขโมย” มรดกทางวัฒนธรรมของกัมพูชา เช่น ละครโขน นาฏศิลป์ อักษรเขมร
โขนไทยถูกมองว่าเป็นแบบจำลองของโขนเขมร และกัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อยูเนสโกเพื่อขึ้นทะเบียนโขนเขมรเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของตน
ในบทเรียนจะมีการเน้นถึงดินแดนทางตะวันตกของกัมพูชา (ที่ปัจจุบันเป็นของไทย) ซึ่งแต่เดิมเคยอยู่ภายใต้การปกครองของขอม
มีการสอนว่าสยาม “ผนวก” หรือ “ยึดครอง” ดินแดนเหล่านี้ เช่น พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ซึ่งฝรั่งเศสได้คืนให้ไทยในช่วงสงครามอินโดจีน แล้วภายหลังถูกฝรั่งเศสยึดกลับไปในปี 1946
ประเด็นนี้สร้างความรู้สึกลึกซึ้งในหมู่นักเรียนกัมพูชาว่า ไทยเป็น “ผู้รุกรานทางดินแดน”
ตำรากัมพูชาสอนว่า ปราสาทพระวิหารเป็นสมบัติของชาติกัมพูชาอย่างชัดเจน
การที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชาในปี 1962 ถูกย้ำว่าเป็น "ชัยชนะของความยุติธรรม"
แต่เหตุการณ์การปะทะทางชายแดนในช่วงปี 2008–2011 ถูกสอนว่าเป็นการที่ไทย “พยายามละเมิดอธิปไตยของกัมพูชา”
ในบทเรียนเหล่านี้ ไทยมักถูกวาดภาพในฐานะ “ศัตรูทางประวัติศาสตร์” ที่ลิดรอนอำนาจและความรุ่งเรืองของกัมพูชา
การสอดแทรกความรู้สึก “เสียดินแดน” และ “ต้องทวงคืนศักดิ์ศรี” ทำให้บทเรียนกลายเป็นเครื่องมือปลุกจิตสำนึกรักชาติ
บางตำราและเอกสารที่ใช้เสริมบทเรียนยังใช้คำรุนแรง เช่น “ผู้รุกรานจากตะวันตก” หรือ “ผู้ที่ขโมยวัฒนธรรมของเรา”
นักวิชาการไทยหลายคนมองว่าบทเรียนเหล่านี้ “ละเลยความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์” และ “บิดเบือนบางช่วง” เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
การเรียนประวัติศาสตร์แบบนี้อาจทำให้เยาวชนกัมพูชามีอคติต่อไทย และมองความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติในแง่ลบ
นักวิชาการในอาเซียนเสนอว่า ไทยและกัมพูชาควรมี “ประวัติศาสตร์ร่วม” หรือ “โครงการศึกษาร่วมกัน” เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ไม่เอนเอียง
โครงการ ASEAN History Textbook Initiative เคยถูกเสนอในเวทีอาเซียนเพื่อบรรเทาปัญหาแบบนี้ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าชัดเจน
ในขณะที่ไทยมองกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านและมิตรในภูมิภาค ตำราประวัติศาสตร์ของกัมพูชากลับวาดภาพไทยเป็น “คู่กรณีทางประวัติศาสตร์” บทเรียนเหล่านี้มีผลกระทบต่อความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ความรักชาติ และความหวาดระแวงข้ามพรมแดน
หากไม่มีกระบวนการทบทวนร่วม การ “จำ” ที่ไม่เหมือนกันนี้อาจกลายเป็นเชื้อไฟทางความคิด ที่สั่นคลอนความสัมพันธ์อันเปราะบางของสองประเทศไปอีกนาน
จากบทเรียนในห้องเรียน สู่ความรู้สึกในหัวใจของคนรุ่นใหม่
ในระบบการศึกษาของกัมพูชา วิชาประวัติศาสตร์ (ប្រវត្តិសាស្ត្រ) ถือเป็นวิชาบังคับตั้งแต่ระดับประถมปลาย มัธยมต้น มัธยมปลาย ไปจนถึงวิชาพื้นฐานในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
วิชานี้ไม่ได้สอนเพียงแค่ลำดับเหตุการณ์เท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือในการปลูกฝังความภาคภูมิใจในชาติ ศาสนา และกษัตริย์ ตลอดจนความรู้สึกระแวดระวังต่อ “ภัยจากเพื่อนบ้าน” โดยเฉพาะ “ภัยจากทิศตะวันตก” — ซึ่งในบริบทของกัมพูชา หมายถึง ประเทศไทย
ในตำราและสื่อการเรียนรู้ของนักเรียนกัมพูชา หัวข้อเกี่ยวกับประเทศไทยปรากฏอยู่ในหลากหลายช่วงของประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในหัวข้อเหล่านี้:
เรียนรู้การล่มสลายของอาณาจักรขอม โดยเน้นย้ำว่าไทย (สยาม/อยุธยา) เป็นฝ่ายบุกทำลายเมืองหลวงพระนคร (Angkor) ในปี 1431
มีการใช้คำว่า “รุกราน” และ “ช่วงชิงอำนาจ” เพื่อเน้นภาพว่าไทยเป็นต้นเหตุหลักของการเสื่อมอำนาจ
กล่าวถึงช่วงที่ดินแดนของกัมพูชาถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของไทย เช่น พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ
สื่อถึงความจำเป็นที่กัมพูชาต้อง “ยืนหยัด” และ “ทวงคืนอธิปไตย” ผ่านการสนับสนุนจากฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม
วิจารณ์ว่าศิลปวัฒนธรรมไทย เช่น โขน รามเกียรติ์ สถาปัตยกรรม และตัวอักษร มีต้นกำเนิดจากเขมร
ใช้คำว่า “ไทยนำไปใช้โดยไม่ให้เครดิต” หรือ “ปลอมแปลงความเป็นเจ้าของทางวัฒนธรรม”
แบบฝึกหัดในแบบเรียนไม่ได้จำกัดแค่การตอบคำถามตรงๆ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เยาวชนแสดงความคิดเห็น และตีความผ่านมุมมองประวัติศาสตร์ของตนเอง โดยตัวอย่างแบบฝึกหัดที่ปรากฏในหนังสือเรียนระดับมัธยม ได้แก่:
“ทำไมไทยถึงยึดปราสาทของเรา?”
คำถามนี้มักตามมาด้วยเนื้อหาให้วิเคราะห์หลักฐานทางภูมิศาสตร์และคำตัดสินของศาลโลก
“อะไรคือผลเสียจากการรุกรานของไทยในอดีต?”
นักเรียนต้องเขียนเรียงความเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวเขมร และผลกระทบทางวัฒนธรรม
“เราควรทำอย่างไรเพื่อปกป้องมรดกของชาติ?”
เป็นการบ่มเพาะจิตสำนึกด้านวัฒนธรรมและการอนุรักษ์ เช่น การสนับสนุนยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนวัฒนธรรมเขมร
รัฐบาลกัมพูชาให้การสนับสนุนอย่างมากต่อการผลิตสื่อเสริมการเรียนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับการ “รักษาเอกราช” และ “การเสียเปรียบทางประวัติศาสตร์” เช่น:
สารคดีเรื่อง “Angkor Never Dies” และ “The Lost Lands” ซึ่งแสดงภาพไทยในฐานะผู้รุกราน
ภาพยนตร์กึ่งประวัติศาสตร์สำหรับเยาวชน เช่น “วีรชนขอมผู้ต่อกรกับไทย” (Khmer Hero vs Siam)
ตัวละครแบบ “เขมรกล้า” ต่อต้าน “ยักษ์จากทิศตะวันตก” ซึ่งมีสีและรูปร่างสื่อถึงความคล้ายไทย
บทกลอนในหนังสือสำหรับเด็กมีข้อความ เช่น:
“พระวิหารเรารัก – ใครใดยักเราจำ”
“เสาหลักอารยธรรมเขมร – อย่าให้ใครเบียดบัง”
นักเรียนถูกสนับสนุนให้ผลิตคอนเทนต์เชิงประวัติศาสตร์ เพื่อแสดงความภาคภูมิใจในชาติและวัฒนธรรมเขมร
รัฐกัมพูชามีแนวทางส่งเสริมการเรียนประวัติศาสตร์อย่างเข้มข้น โดยมุ่งหมายให้เป็น “เกราะทางความคิด” ของชาติ ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่:
ตอกย้ำความภูมิใจในมรดกขอมโบราณ
“เราเคยยิ่งใหญ่ และเราจะยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
เตือนถึงภัยจากการรุกรานของอดีต
“หากลืมอดีต เราอาจตกเป็นเหยื่อซ้ำ”
บ่มเพาะผู้นำแห่งอนาคตที่รักชาติอย่างลึกซึ้ง
นักเรียนที่ “จำ” ได้อย่างถูกต้อง คือพลเมืองที่ “ยืนหยัด” ได้อย่างมั่นคง
แม้การปลูกฝังแบบนี้จะสร้างเยาวชนที่รักชาติ แต่ก็อาจส่งผลกระทบระยะยาวดังนี้:
ทัศนคติลบต่อประเทศไทย
มีการสำรวจความคิดเห็นในช่วงวิกฤตพระวิหาร พบว่ากว่า 70% ของเยาวชนกัมพูชา “ไม่เชื่อใจไทย”
บ่มเพาะความตึงเครียดระดับประชาชน
เมื่อเกิดเหตุการณ์ชายแดนหรือข้อพิพาท คนรุ่นใหม่จะ “พร้อมสนับสนุน” การตอบโต้โดยอัตโนมัติ
ลดโอกาสความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียน
การเรียนที่ยึดติดกับความแค้นขัดขวางการสร้างอนาคตที่ร่วมมือกัน
ในโรงเรียนไทย ประวัติศาสตร์เขมรอาจเป็นเพียงภาพของความรุ่งเรืองร่วมในอดีต แต่ในโรงเรียนกัมพูชา ประวัติศาสตร์ไทยถูกสื่อให้เป็น “ภัยคุกคามต่ออัตลักษณ์เขมร”
หากไม่มีการปฏิรูปทางการศึกษา และการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างจริงใจและต่อเนื่อง ความเข้าใจผิดอันเกิดจากตำราเรียน อาจกลายเป็น “กำแพงทางใจ” ที่สูงกว่าป้อมปราการใดๆ
เมื่อประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่คือสงครามความทรงจำ
นักวิชาการในกัมพูชาหลายท่านเห็นตรงกันว่า ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เพียงบันทึกของอดีต แต่เป็นกลไกเชิงอำนาจ ที่รัฐใช้ในการสร้างอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ และอิทธิพลทางการเมือง โดยเฉพาะในประเทศที่เคยผ่านสงครามกลางเมือง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการถูกรุกรานจากภายนอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่น กัมพูชา
ในบริบทนี้ ประเทศไทยมักถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งของ "ฝ่ายที่รุกล้ำ" ในความทรงจำของชาวกัมพูชา ซึ่งถูกหล่อหลอมผ่านระบบการศึกษาและสื่อมวลชน โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลกัมพูชาเผชิญแรงกดดันภายในหรือความไม่มั่นคง
หนึ่งในเสียงหลักของกลุ่มนี้คือ
ศาสตราจารย์ ดร.โส เพียร (Dr. So Pean)
อาจารย์ด้านประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ชาติกัมพูชาแห่งมหาวิทยาลัยพนมเปญ ซึ่งเคยกล่าวในการประชุมวิชาการประจำปี 2564 ว่า:
“เราต้องไม่ลืมว่าอดีตคือบาดแผลของชาติ ถ้าเราไม่สอนลูกหลานให้รู้เท่าทัน ก็อาจตกเป็นเหยื่ออีกครั้ง”
คำกล่าวนี้สะท้อนมุมมองที่ว่า ความทรงจำเกี่ยวกับการถูกรุกรานจากไทยนั้นเป็น “ภูมิคุ้มกันทางความคิด” ของคนรุ่นใหม่ การเรียนรู้ประวัติศาสตร์จึงไม่ควรลบล้างความเจ็บปวด แต่นำมาใช้เป็นแรงผลักดันในการปกป้องอัตลักษณ์และอธิปไตย
กลุ่มนักวิชาการแนวนี้นิยมใช้คำว่า:
“การจำเพื่อยืนหยัด” (Remember to Resist)
“การศึกษาคือการป้องกันชาติ”
“หากหลงลืมอดีต ก็เท่ากับขายชาติโดยไม่รู้ตัว”
แม้แนวคิดอนุรักษ์นิยมยังเป็นกระแสหลัก แต่ก็มีนักวิชาการรุ่นใหม่ในกัมพูชาที่พยายามผลักดันให้เกิดการมองประวัติศาสตร์อย่าง “หลากหลาย” และ “เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น” โดยเน้นการใช้หลักฐานที่หลากหลาย ทั้งจากจารึก ศิลาจารึกไทย-ขอม เอกสารจีน เวียดนาม และฝรั่งเศส เพื่อหลีกเลี่ยงการมองอดีตแบบฝ่ายเดียว
ความสัมพันธ์ระหว่างล้านนา–เขมร, อยุธยา–เมืองกำแพงเพชร–พนมเปญ
→ มีการค้าขาย แลกเปลี่ยนช่างฝีมือ และแต่งงานทางการเมือง
→ ศิลปกรรมยุคต้นอยุธยาหลายรูปแบบมีความเชื่อมโยงกับรูปแบบเขมร แต่ไม่ใช่การขโมย หากแต่เป็น “การรับและแปรรูปอย่างสร้างสรรค์”
ลดการใช้คำว่า “รุกราน” “ปล้น” “ขโมยวัฒนธรรม” ที่มีน้ำหนักทางอารมณ์
เพิ่มบทเรียนที่กล่าวถึง “การพึ่งพากันทางเศรษฐกิจ” และ “ภูมินิเวศร่วม”
เสนอให้จัดตั้ง “ห้องเรียนประวัติศาสตร์อาเซียน” เพื่อเรียนรู้หลากหลายมุมมองร่วมกัน
แม้จะมีนักวิชาการกลุ่มใหม่ที่เสนอแนวทางกลาง แต่เสียงของพวกเขากลับไม่ดังเท่ากลุ่มอนุรักษ์นิยม และบางรายถูกโจมตีว่า “ละเลยศักดิ์ศรีของชาติ” หรือ “สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายตรงข้าม”
ตัวอย่างเหตุการณ์:
ปี 2023 มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งจัดเวทีวิชาการชื่อ “เขมร–ไทย: มิตรภาพในความขัดแย้ง” ณ มหาวิทยาลัยรอยัลพนมเปญ
→ เวทีนี้ถูกสื่อชาตินิยมโจมตีอย่างรุนแรงว่า “บิดเบือนอดีต” และ “สนับสนุนผลประโยชน์ของศัตรู”
มีนักศึกษาในกลุ่มปฏิรูปบางคนถูกปฏิเสธทุน หรือไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายบริหาร เนื่องจาก “แนวคิดไม่สอดคล้องกับจุดยืนของชาติ”
แม้สังคมกัมพูชาอาจยังไม่เปิดกว้างเต็มที่ แต่นักวิชาการบางกลุ่มก็พยายามสื่อสารกับนักวิชาการไทย เพื่อจัดทำ “ประวัติศาสตร์ร่วม” ในลักษณะต่อไปนี้:
โครงการแลกเปลี่ยนนักวิชาการ ระหว่าง ม.พนมเปญ กับ ม.ธรรมศาสตร์
การจัดสัมมนาประวัติศาสตร์ข้ามพรมแดน โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองชาติ
การจัดทำหนังสือเด็กภาษาเขมร-ไทยคู่กัน เนื้อหาเน้นการอยู่ร่วมกันในภูมิภาคสุวรรณภูมิ
แต่กระบวนการเหล่านี้ยังคงเปราะบางและอ่อนไหวต่อสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ
กัมพูชาในวันนี้กำลังยืนอยู่กลางระหว่างสองกระแส:
กระแสหนึ่งคือการ “ปกป้องอัตลักษณ์ผ่านการจดจำความเจ็บปวด”
อีกกระแสหนึ่งคือ “การเยียวยาความทรงจำผ่านความเข้าใจที่หลากหลาย”
นักวิชาการกัมพูชาที่กล้าท้าทายกรอบเดิม อาจไม่ได้รับเสียงปรบมือจากสังคมในวันนี้
แต่ในระยะยาว ความกล้าเหล่านี้อาจกลายเป็น “เมล็ดพันธุ์แห่งการสมานฉันท์” ระหว่างสองชาติที่เคยผ่านศึกมาด้วยกัน
ความพยายามเปิดบทสนทนาในประวัติศาสตร์อันบาดลึก
นักวิชาการไทยจำนวนไม่น้อยแสดงความห่วงใยต่อแนวทางการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในกัมพูชา โดยเฉพาะการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ไทย–เขมรในแบบ “ด้านเดียว” และ “กระตุ้นอารมณ์ชาติพันธุ์”
ศัพท์ที่ใช้บ่อยในบทความและงานสัมมนาคือ
“ความทรงจำแบบชาติพันธุ์นิยม” (ethno-nationalist memory)
ซึ่งหมายถึง การเลือกจำอดีตเฉพาะช่วงที่สร้างความรู้สึกว่า “ชาติของเราเป็นเหยื่อ” และ “เพื่อนบ้านคือผู้รุกราน”
อาจารย์หลายคนชี้ว่า โครงสร้างการสอนแบบนี้อาจนำไปสู่ การสร้างความเกลียดชังในหมู่เยาวชน และบั่นทอนความร่วมมือในอนาคต โดยไม่จำเป็น
หนึ่งในนักวิชาการไทยที่พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนคือ
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
นักประวัติศาสตร์แนวสังคม–วัฒนธรรม ซึ่งเคยกล่าวในเวทีวิชาการระดับอาเซียนว่า:
“การเรียนแบบนั้น (ของกัมพูชา) ไม่เปิดโอกาสให้เยาวชนเห็นว่า ไทย–เขมรมีการแลกเปลี่ยนและอยู่ร่วมกันในประวัติศาสตร์มากกว่าการสู้รบ”
“เขาเรียนแบบที่ทำให้เชื่อว่าไทยคือศัตรูตลอดกาล แต่ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่างเขมรกับไทยเคยแนบแน่นอย่างยิ่ง ทั้งในด้านวรรณกรรม ศาสนา ช่างฝีมือ และการแต่งงานระหว่างราชวงศ์”
ศ.ดร.นิธิเสนอว่า ประวัติศาสตร์ควรเป็น “พื้นที่ของการฟังและเข้าใจหลายเสียง” มากกว่าการสถาปนาความเจ็บปวดแต่เพียงฝ่ายเดียว
นักวิชาการสายอาเซียนศึกษา เช่น
ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ดร.วสันต์ ปัญญาแก้ว
ได้เสนอแนวคิด “ตำราร่วมอาเซียน” (ASEAN Shared History Textbook)
ซึ่งเป็นความพยายามสร้างตำราที่สอนประวัติศาสตร์ในมุมมองหลากหลาย โดยเฉพาะในประเด็นที่อ่อนไหว เช่น:
การล่มสลายของอาณาจักรขอม
การผนวกดินแดน
ปราสาทพระวิหาร
สงครามอินโดจีน
แนวคิดนี้ถูกหยิบยกขึ้นหลายครั้งในเวทีประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน แต่ยังไม่มีประเทศใดยอมรับอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก:
กัมพูชา ยืนกรานว่าต้องรักษาความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ตนตีความ
ไทย ไม่อยากให้เยาวชนรับรู้ภาพตนในฐานะ “ผู้รุกราน” แม้บางข้อเท็จจริงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวียดนาม และ เมียนมา ต่างมีประเด็นละเอียดอ่อนกับประเทศเพื่อนบ้านเช่นกัน
แม้นักวิชาการไทยวิจารณ์การสอนในกัมพูชา แต่ก็มีเสียงสะท้อนว่า “ไทยเองก็ไม่ได้สอนประวัติศาสตร์เพื่อนบ้านอย่างโปร่งใสเช่นกัน”
ตัวอย่างข้อสังเกตจากกลุ่มนักวิจัยไทย:
ในหนังสือเรียนไทย กล่าวถึงเขมรในฐานะอาณาจักรที่ถูกกลืน โดยอยุธยา แต่ไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ประวัติศาสตร์เขมร ถูกสอนในลักษณะ "พื้นหลัง" ที่เสริมบทบาทของไทย ไม่ใช่ในฐานะ "ผู้มีอารยธรรมคู่ขนาน"
เหตุการณ์พระวิหาร มักกล่าวเพียง “ศาลโลกตัดสินโดยไม่ยุติธรรม” แต่ไม่กล่าวถึงกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ
กลุ่มนักวิชาการรุ่นใหม่ เช่น
ผศ.ดร.ปิยบุตร อังกินันทน์
ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (ผู้ล่วงลับ)
ผศ.ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ
เสนอให้ใช้ “กระบวนการยอมรับอดีตร่วมกัน” (Shared Reconciliation Process) ซึ่งอาจมีแนวทาง เช่น:
การจัด นิทรรศการประวัติศาสตร์แบบสองภาษา ในไทย–เขมร
การจัด เวิร์กช็อปครูประวัติศาสตร์ ของทั้งสองประเทศ
การผลิต สารคดีสั้นที่มีนักวิชาการจากทั้งสองฝ่ายร่วมอธิบาย
ความพยายามของนักวิชาการไทยมักสะดุดเพราะ:
การเมืองสองประเทศผันผวน
ทุกครั้งที่เกิดเหตุชายแดนหรือกรณีพระวิหาร ข้อเสนอเรื่อง “ตำราร่วม” จะถูกระงับหรือเพิกเฉยทันที
โซเชียลมีเดียปลุกกระแสชาตินิยมได้ง่าย
บทเรียนทางวิชาการไม่สามารถสู้กับคลิปปลุกใจใน TikTok หรือ Facebook ได้
ความไม่ไว้วางใจทางประวัติศาสตร์ยังฝังลึก
ทั้งสองประเทศยังไม่พร้อมจะ “เปิดใจ” อย่างแท้จริง
แม้กระแสหลักยังคงเต็มไปด้วยความเข้าใจผิดและความระแวงระหว่างสองชาติ แต่นักวิชาการไทยจำนวนหนึ่งยังคงยืนยันว่า:
“การยอมรับอดีต ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่คือจุดเริ่มต้นของอนาคตที่ร่วมกันเขียนได้”
“เราไม่จำเป็นต้องมีอดีตที่เหมือนกัน แต่ควรเคารพในความแตกต่างของความทรงจำ และร่วมกันสร้างบทเรียนของอนาคตที่ยั่งยืน”
“บทความนี้จัดทำขึ้นโดยใช้แนวทางทางวิชาการ ไม่ได้มีเจตนาโจมตี หรือชี้นำความรู้สึกเชิงลบต่อประเทศกัมพูชา หรือประเทศไทย เป็นการรวบรวมข้อมูลและความคิดเห็นจากแหล่งต่างๆ โดยมีเจตนาเพื่อส่งเสริมความเข้าใจในเชิงวิชาการ และมิได้มีจุดประสงค์ในการกล่าวหา ดูหมิ่น หรือชี้นำความเข้าใจผิดต่อบุคคลหรือสถาบันใด”
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |