2 สิงหาคม 2568
อ้างอิงจากรายงานของ The Guardian และ Fulcrum
📝 หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการวิเคราะห์และสื่อสารเชิงวิชาการ โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลสาธารณะของสื่อระหว่างประเทศ ได้แก่ The Guardian และ Fulcrum เพื่อสะท้อนภาพรวมของสงครามข้อมูลระหว่างไทยและกัมพูชา ผู้เขียนไม่มีเจตนาใส่ร้าย ดูหมิ่น หรือปลุกปั่นความเกลียดชังต่อบุคคล ชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมใด และขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล
หลังการปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชาที่ลากยาวตลอดปลายเดือนกรกฎาคม 2025 จนกลายเป็นหนึ่งในความขัดแย้งชายแดนที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี โลกออนไลน์ของทั้งสองประเทศกลับไม่เงียบสงบเหมือนที่สนามรบพยายามจะหยุดยิง การแพร่กระจายของข้อมูลบิดเบือน ข่าวปลอม และข้อความที่เต็มไปด้วยอารมณ์ชาตินิยมได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ส่งผลให้สถานการณ์ความตึงเครียดไม่เพียงดำเนินอยู่ในพื้นที่จริง แต่ยังปะทุในโลกเสมือนที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รายงานของ The Guardian ระบุว่า ข้อมูลที่เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชามีการ “ชี้นิ้ว” ใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด โดยข้อความจำนวนมากไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checking) และมักใช้ถ้อยคำรุนแรงเพื่อกระตุ้นอารมณ์ผู้รับสาร บางโพสต์อ้างถึงเหตุการณ์โจมตีหรือการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยใช้ภาพถ่ายเก่าหรือภาพที่ดัดแปลงด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดและเกิดความเกลียดชังมากขึ้น
Fulcrum วิเคราะห์ว่า นี่คือการเปลี่ยนสมรภูมิรบจากสนามจริงสู่ “สนามไซเบอร์” (cyber battlefield) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลหรือกลุ่มผลประโยชน์สามารถใช้เป็นเครื่องมือปลุกระดมและสร้างกระแสเพื่อให้ประชาชนสนับสนุนท่าทีของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทางทหารเพียงอย่างเดียว
โซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, TikTok และ X (Twitter) กลายเป็นช่องทางหลักที่คนทั้งสองประเทศใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล แต่ในช่วงวิกฤตข้อมูลเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบ ทำให้ข่าวปลอมแพร่กระจายง่ายเป็นพิเศษ กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์และเพจข่าวบางแห่งใช้โอกาสนี้ในการสร้างยอดติดตาม ด้วยการโพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์ชาตินิยม บางคนถึงกับเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนเพื่อให้ผู้ชมรู้สึก “โกรธ” หรือ “เกลียด” ฝ่ายตรงข้าม
ในฝั่งไทย มีกลุ่มโซเชียลที่เผยแพร่คลิปวิดีโอที่อ้างว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลายครั้ง ขณะที่ในฝั่งกัมพูชา ก็มีเพจดังหลายเพจที่ปล่อยข่าวว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน และพยายามทำให้สังคมกัมพูชาเชื่อว่าประเทศของตนเป็น “เหยื่อ” ของการรุกราน
ทั้ง The Guardian และ Fulcrum ชี้ให้เห็นว่า ความรู้สึกชาตินิยมที่ทวีความรุนแรงขึ้นในโลกออนไลน์ อาจกลายเป็นตัวเร่งให้สถานการณ์บนภาคพื้นดินยากต่อการควบคุม เพราะประชาชนกดดันรัฐบาลให้แสดงท่าทีแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อ และอาจต่อต้านการเจรจาสันติภาพ ความรู้สึกแบบ “เราต้องไม่แพ้” และ “อีกฝ่ายต้องขอโทษ” ได้แพร่ไปในวงกว้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลทั้งสองประเทศต้องเผชิญหน้ากับกระแสสังคมอย่างหนัก
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไซเบอร์ที่ให้สัมภาษณ์กับ Fulcrum กล่าวว่าสงครามข้อมูล (information warfare) ระหว่างไทยและกัมพูชาในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า การต่อสู้ทางออนไลน์มีพลังมากพอที่จะชี้นำความคิดของสังคม และอาจส่งผลต่อท่าทีทางการเมืองระหว่างประเทศ ความสามารถในการสร้างข้อมูลเท็จโดยใช้เทคโนโลยี เช่น Deepfake หรือภาพ AI ทำให้ข่าวปลอมดูน่าเชื่อถือมากขึ้น จนแม้แต่คนมีความรู้ก็ยังยากที่จะตรวจสอบความจริงได้ทันเวลา
ทั้งสองประเทศกำลังพิจารณาใช้มาตรการตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-checking) อย่างเป็นระบบ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มใหญ่ๆ เช่น Meta และ X เพื่อจำกัดการแพร่กระจายของข่าวปลอม อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนเตือนว่า วิธีที่ยั่งยืนกว่าคือการให้ความรู้ประชาชนในการรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) เพราะในยุคดิจิทัล ไม่มีวิธีใดที่สามารถหยุดการแพร่ข้อมูลเท็จได้ทั้งหมด
รายงานของ The Guardian ยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้สถานการณ์การหยุดยิงจะเริ่มนิ่งขึ้น แต่บาดแผลทางสังคมที่เกิดจากสงครามข้อมูลจะไม่หายไปง่ายๆ ความเกลียดชังและการสร้างภาพลบต่อกันในโลกออนไลน์อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนไทยและกัมพูชาลดความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันอย่างถาวร หากไม่มีการเยียวยาและสร้างความเข้าใจร่วมกันในระยะยาว
สรุป
ปมความขัดแย้งในโลกออนไลน์ระหว่างไทย–กัมพูชา เป็นบทพิสูจน์ว่าความขัดแย้งในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้จำกัดอยู่ในสนามรบ แต่ขยายไปถึงสมรภูมิข้อมูลและจิตวิทยาสังคม ขณะที่ปืนและระเบิดอาจทำลายชีวิตและสิ่งปลูกสร้าง ข่าวปลอมและข้อความบิดเบือนก็สามารถทำลายความไว้ใจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ไม่แพ้กัน และนี่คือความท้าทายใหม่ที่ทั้งสองประเทศและอาเซียนต้องเรียนรู้ที่จะรับมือในอนาคต
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |