1 สิงหาคม 2568
📝 หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ และการสื่อสารเชิงนโยบาย โดยอ้างอิงจากข้อมูลสาธารณะและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ผู้จัดทำไม่มีเจตนาใส่ร้าย ดูหมิ่น หรือสร้างความเกลียดชังต่อบุคคล ชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมใด ภาพบุคคลที่ใช้ประกอบบทความมีขึ้นเพื่อประกอบบริบทการวิเคราะห์เท่านั้น มิได้มีเจตนาในเชิงลบหรือมุ่งทำลายชื่อเสียงแต่อย่างใด
เมื่อความขัดแย้งกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ชายแดนจึงไม่ใช่เพียงเส้นแบ่งดินแดน แต่คือเวทีแห่งเกมอำนาจ
และไทย...จะไม่ยอมตกเป็นหมากในกระดานของใคร
การปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงกลางปี 2025 ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางทหารธรรมดา หากแต่เกิดขึ้นท่ามกลางบริบททางการเมืองที่ซับซ้อน ทั้งภายในกัมพูชาเอง และความเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ “อำนาจบริหาร” ของกัมพูชาได้เปลี่ยนผ่านอย่างเป็นทางการจากอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน มาสู่บุตรชายของเขา คือ พลเอก ฮุน มาเน็ต แต่ในความเป็นจริงแล้ว อิทธิพลของบิดาก็ยังคงปรากฏอยู่ในทุกมิติของโครงสร้างอำนาจ
ฮุน เซน ซึ่งปกครองกัมพูชามานานกว่า 38 ปี คือผู้นำที่รู้จักกันดีว่าใช้แนวทาง “แข็งนอก–ควบคุมใน” ไม่ว่าจะผ่านการใช้กำลัง การควบคุมกลไกรัฐ หรือการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับมหาอำนาจอย่างจีน การถ่ายโอนอำนาจให้กับบุตรชายของเขา จึงไม่ใช่เพียงแค่การวางมือหรือส่งต่อรุ่นใหม่ แต่คือการ “สืบทอดระบบอำนาจ” ที่ยังคงถูกควบคุมอยู่เบื้องหลังโดยกลุ่มเดิม
เมื่อพิจารณาในบริบทนี้ การปะทะกับไทยไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือจำกัดอยู่เพียงการแย่งชิงพื้นที่ แต่เป็นเหตุการณ์ที่อาจสะท้อน “เจตนารมณ์ทางยุทธศาสตร์” ของฝ่ายกัมพูชา ที่กำลังพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับผู้นำรุ่นใหม่ รวมถึงสร้างภาพลักษณ์ว่า “รัฐบาลยังเข้มแข็ง” แม้จะเปลี่ยนมือจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก
อีกทั้ง ในช่วงเวลาดังกล่าว ประเทศไทยเองก็อยู่ในสภาวะเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล โดยมีแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ จึงไม่อาจมองข้ามไปได้ว่า ฝ่ายกัมพูชาอาจเห็นโอกาสใน “ช่องว่างเชิงอำนาจ” เพื่อผลักดันเป้าหมายบางอย่าง ซึ่งอาจรวมถึงการทดสอบขอบเขตของการตอบโต้ไทย หรือแม้กระทั่งการชี้นำความคิดเห็นของประชาชนกัมพูชาให้หันเหจากปัญหาภายในประเทศ
เหตุการณ์ชายแดนจึงไม่ใช่เพียง “เรื่องเฉพาะหน้า” แต่สะท้อนถึงแนวโน้มเชิงโครงสร้างที่กำลังขับเคลื่อนการเมืองกัมพูชา และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้นำคนใหม่ที่มาจากตระกูลเดิมกำลังต้องการแสดงบทบาทผู้นำที่ “แข็งแกร่ง” และ “น่าเชื่อถือ” ต่อสายตาประชาชนและกองทัพ
แนวโน้มสำคัญ 3 ประการที่สะท้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยเน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่างเหตุการณ์ชายแดนกับเป้าหมายทางการเมืองของผู้นำกัมพูชาในยุคเปลี่ยนผ่าน
การเผชิญหน้าทางทหารกับไทยในช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่านอำนาจภายในกัมพูชา อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่ถูกนำมาใช้อย่างเจนจัดและรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการเมืองแบบ “อำนาจนิยมผสมประชาธิปไตยจำแลง” ที่ผู้นำมีความจำเป็นต้องควบคุมการเปลี่ยนผ่านให้เรียบร้อย โดยไม่ให้เกิดสุญญากาศหรือช่องโหว่ที่กลุ่มต่อต้านจะใช้เป็นโอกาสในการโค่นอำนาจ
ในกรณีของกัมพูชา ฮุน มาเน็ต แม้จะมีโปรไฟล์ที่ดูทันสมัย เป็นนายทหารที่จบการศึกษาจากต่างประเทศ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นจากกองทัพเดิม ความไว้วางใจจากชนชั้นนำรุ่นเก่า ไปจนถึงเสียงวิจารณ์จากประชาชนที่เริ่มตั้งคำถามว่า “ผู้นำคนใหม่นี้เป็นเพียงเงาของบิดาหรือไม่” ท่ามกลางแรงกดดันเหล่านี้ “วิกฤตชายแดน” จึงกลายเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยการยกระดับความตึงเครียดกับไทย สามารถบรรลุผลในหลายมิติ:
สร้างภาพผู้นำแข็งแกร่ง: ฮุน มาเน็ตจำเป็นต้องพิสูจน์ตนเองว่าไม่ใช่เพียง “ลูกผู้นำ” แต่เป็นผู้นำที่สามารถสั่งการกองทัพได้จริง และปกป้องประเทศจาก “ภัยคุกคามภายนอก” ได้อย่างเด็ดขาด
บีบให้สังคมหยุดตั้งคำถาม: ความขัดแย้งภายนอกมักทำให้สังคมหยุดตั้งคำถามต่อปัญหาภายใน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง หรือการผูกขาดอำนาจทางการเมือง
เสริมความชอบธรรมเชิงประวัติศาสตร์: ในสายตาของประชาชนที่ถูกปลูกฝังด้วยประวัติศาสตร์ขัดแย้งกับไทยตั้งแต่ยุคอาณานิคม การเผชิญหน้ากับไทยจึงไม่เพียงแต่ไม่ถูกต่อต้าน หากยังอาจถูกมองว่าเป็น “ภารกิจของชาติ” ที่ต้องทำ
วิธีการแบบนี้มีต้นแบบมาจากหลายประเทศที่ใช้ “สงครามหรือความขัดแย้งภายนอก” เป็นเครื่องมือเพื่อรวบอำนาจภายใน เช่น เกาหลีเหนือที่มักปลุกกระแสต่อต้านเกาหลีใต้และสหรัฐฯ เมื่อมีปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ หรือรัสเซียที่ใช้ประเด็นความมั่นคงกับตะวันตกเพื่อรวบรวมความนิยมในช่วงการเลือกตั้ง การสร้างศัตรูภายนอกจึงกลายเป็น “เทคนิคทางจิตวิทยาระดับชาติ” ที่ผู้นำเผด็จการมักใช้เพื่อเปลี่ยนความไม่พอใจของประชาชนให้กลายเป็นพลังสนับสนุนอำนาจของตน
ในกรณีกัมพูชา กลุ่มตระกูลฮุนอาจเห็นว่า “ภัยคุกคามจากไทย” เป็นประเด็นที่สามารถจุดไฟความรู้สึกร่วมของประชาชนได้ง่าย โดยไม่ต้องสร้างเรื่องใหม่ให้ยุ่งยาก เพราะมีความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์คอยหนุนอยู่แล้ว นอกจากนี้ การปลุกกระแสชาตินิยมยังช่วย “กวาดล้าง” ความเห็นต่างหรือเสียงค้านได้อย่างชอบธรรมภายใต้ชื่อของ “ความมั่นคงของชาติ”
ในช่วงเวลานี้ การที่ฮุน มาเน็ตยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงจากประชาชนบางกลุ่ม หรือยังไม่สามารถครอบครองความเชื่อมั่นในกองทัพได้ทั้งหมด จึงมีแนวโน้มสูงว่าการเปิดแนวปะทะกับไทยคือส่วนหนึ่งของ “บทพิสูจน์ผู้นำ” ที่ออกแบบไว้ล่วงหน้า และยังเป็นกลไกที่ทำให้ “บิดา” อย่างฮุน เซน สามารถกลับมาแสดงบทบาทอย่างสง่างามอีกครั้งในนามของ “ที่ปรึกษารุ่นใหญ่ผู้ปกป้องประเทศ”
ทั้งหมดนี้ คือความพยายาม “ควบคุมการเปลี่ยนผ่าน” ผ่านการควบคุมสถานการณ์ขัดแย้งที่ดูเหมือนอยู่ภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีรากเหง้ามาจากปัจจัยภายในโดยตรง และมุ่งเป้าเพื่อรวมศูนย์อำนาจของกลุ่มตระกูลฮุนให้มั่นคงยิ่งขึ้นในสายตาทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ในประเทศที่ปกครองโดยระบอบอำนาจนิยมหรือมีระบบการเมืองที่รวมศูนย์อำนาจ กระแส “ชาตินิยม” มักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับผู้นำหรือรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมภายในเริ่มสั่นคลอน เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความเหลื่อมล้ำที่รุนแรง หรือความไม่พอใจของประชาชนต่อการสืบทอดอำนาจภายในกลุ่มผู้นำ
สำหรับกรณีกัมพูชา การเผชิญหน้ากับไทยในลักษณะปะทะตามแนวชายแดน อาจไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เชิงยุทธศาสตร์ แต่เป็นการ “จงใจใช้ประเด็นแห่งความขัดแย้ง” เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความเป็นปึกแผ่นภายใต้คำว่า “ชาติ” และ “ศัตรูร่วม” ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกลยุทธ์ที่ให้ผลอย่างรุนแรงในทางอารมณ์ของประชาชน
ประวัติศาสตร์ไทย–กัมพูชาเต็มไปด้วยรอยร้าวของความเข้าใจในประเด็นชายแดน วัฒนธรรม และการตีความประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหารที่เคยเป็นจุดศูนย์กลางของการปลุกกระแสชาตินิยมอย่างรุนแรงในช่วงปี 2008–2011 รัฐบาลกัมพูชาในขณะนั้นสามารถใช้ประเด็นดังกล่าวเพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างมหาศาล พร้อมทั้งเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ เช่น ราคาข้าวตกต่ำ ปัญหาที่ดิน หรือการกดขี่เสรีภาพของสื่อ
ในปี 2025 นี้ เมื่อฮุน มาเน็ตขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำแทนบิดาอย่างเป็นทางการ การปลุกกระแสชาตินิยมจึงกลายเป็น “ทางลัด” ในการสร้างสถานะของเขาในฐานะ “ผู้นำที่ปกป้องประเทศจากภัยภายนอก” ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่ทรงพลังในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในสังคมที่ยังมีร่องรอยความรู้สึกว่าเคยตกเป็นเหยื่อของการล่าอาณานิคมหรือการรุกรานจากเพื่อนบ้าน
การปะทะกับไทยจึงถูกนำเสนอผ่านสื่อของรัฐกัมพูชาในรูปแบบที่ชัดเจนว่า “ไทยเป็นผู้รุกราน” ขณะที่รัฐบาลกัมพูชาทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและความสงบสุขของประชาชน เป็นการสร้าง “อารมณ์ร่วม” ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐบาล แม้จะมีปัญหาปากท้องหรือความไม่พอใจในเรื่องอื่นๆ ก็ตาม
ในทางจิตวิทยาการเมือง สิ่งนี้เรียกว่า rally 'round the flag effect หรือ “ปรากฏการณ์รวมธง” ซึ่งหมายถึงการที่ประชาชนมีแนวโน้มจะสนับสนุนรัฐบาลของตนมากขึ้นในช่วงที่ประเทศเผชิญกับภัยคุกคามจากภายนอก โดยไม่สนใจว่าแท้จริงแล้วใครเป็นผู้เริ่ม ความขัดแย้งในลักษณะนี้จึงกลายเป็น อาวุธทางความรู้สึก ที่มีพลังอย่างยิ่ง เพราะสามารถทำลายข้อเท็จจริง ทำลายเหตุผล และหลอมรวมสังคมให้เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลได้อย่างง่ายดาย
ในมิติของกัมพูชา รัฐบาลภายใต้กลุ่มตระกูลฮุนรู้ดีว่ากระแสชาตินิยมเป็นสิ่งที่ปลุกง่ายและควบคุมได้ และยิ่งมีศัตรูที่ “คุ้นเคยทางประวัติศาสตร์” อย่างไทยด้วยแล้ว การสร้างวาทกรรมว่า “ไทยคือผู้รุกราน” ก็ยิ่งง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือชี้แจงมากนัก
แม้ในความเป็นจริง การปะทะจะมีรายละเอียดที่ซับซ้อน หรือแม้กระทั่งมีการละเมิดข้อตกลงจากฝั่งกัมพูชาเอง แต่เมื่อสื่อหลักทั้งหมดอยู่ในมือของรัฐบาล การบิดเบือนข้อมูลก็กลายเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนยากจะตรวจสอบ และเมื่อประชาชนเชื่อมั่นในภาพที่รัฐสร้างขึ้น ก็พร้อมจะยอมรับแม้แต่การใช้งบประมาณมหาศาลไปกับการสู้รบ มากกว่าจะตั้งคำถามว่าชีวิตของตนดีขึ้นหรือแย่ลงเพียงใด
ดังนั้น การปะทะกับไทยจึงไม่ได้มีเป้าหมายเพียงทางยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่คือการสร้าง “อารมณ์ร่วมของชาติ” ที่ทรงพลัง และกลายเป็นเกราะคุ้มกันให้กับรัฐบาลใหม่ ซึ่งกำลังเผชิญกับแรงเสียดทานในหลายด้าน โดยเฉพาะภายในกลไกรัฐและในสายตาของประชาชนที่ยังไม่ได้ยอมรับโดยสมบูรณ์
ในโลกของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์อันซับซ้อนและมีความขัดแย้งเรื้อรัง เช่น ไทยกับกัมพูชา การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลไม่ได้เป็นเพียงเรื่องภายในประเทศเท่านั้น หากแต่ยังเป็น “จุดวัดพลัง” ที่ประเทศเพื่อนบ้านจับตามองอย่างใกล้ชิด และในบางกรณี อาจใช้โอกาสนั้นเป็น “เวทีทดสอบ” เพื่อประเมินความแข็งแกร่งของผู้นำใหม่
ในช่วงที่ไทยเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจภายในพรรครัฐบาล หรือการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ย่อมมีผลต่อความชัดเจนทางนโยบาย ความเด็ดขาดในการตัดสินใจ และเอกภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องที่อ่อนไหวอย่าง “ความมั่นคงตามแนวชายแดน”
สำหรับผู้นำกัมพูชา โดยเฉพาะกลุ่มตระกูลฮุนซึ่งเชี่ยวชาญด้านการเล่นเกมอำนาจในระดับภูมิภาคมานาน อาจมองเห็นช่วงเวลาดังกล่าวของไทยว่าเป็น “ช่องว่างเชิงยุทธศาสตร์” (strategic vacuum) ซึ่งไทยอาจยังไม่มีทิศทางที่มั่นคง หรือยังไม่สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ ภายในประเทศได้อย่างเต็มที่
ในสถานการณ์เช่นนี้ การปะทะเล็กๆ ตามแนวชายแดนจึงอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือ “ทดสอบ” 3 สิ่งหลักจากฝั่งไทย:
ท่าทีของรัฐบาลไทย: ผู้นำกัมพูชาต้องการรู้ว่า ไทยจะตอบโต้ด้วยความแข็งกร้าวหรือไม่ หรือจะเลือกใช้แนวทางประนีประนอมแบบหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ซึ่งจะเป็นสัญญาณสำคัญว่าไทยพร้อมจะ “ตั้งหลัก” และ “ยืนหยัด” ต่อความท้าทายเชิงยุทธศาสตร์หรือไม่
เอกภาพภายในของฝ่ายบริหารไทย: หากมีความขัดแย้งภายในรัฐบาลไทยเอง หรือมีท่าทีที่ไม่เป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงาน เช่น กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายการเมือง นั่นจะทำให้ฝ่ายกัมพูชาเชื่อว่าไทย “ยังไม่พร้อมเล่นเกมยาว”
การตอบสนองของประชาชนและสื่อมวลชนไทย: หากสังคมไทยไม่มีแรงกดดันมากนักให้รัฐบาลต้องตอบโต้ หรือสื่อไม่ให้ความสำคัญกับการละเมิดอธิปไตย การปะทะก็อาจถูกฝ่ายกัมพูชาตีความว่า “ฝ่ายไทยยอมรับได้” ซึ่งจะเปิดช่องให้พวกเขาใช้กลยุทธ์แบบก้าวร้าวมากขึ้นในอนาคต
ในทางกลับกัน หากไทยแสดงท่าทีที่เด็ดขาด มีเอกภาพของรัฐ และสามารถประสานงานระหว่างการทูต การทหาร และสื่อมวลชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นการส่งสัญญาณตรงไปยังรัฐบาลกัมพูชาว่า “ไทยไม่ใช่เป้าหมายที่ควรทดสอบ” การส่งสัญญาณที่ผิดในช่วงเวลาเปราะบางอาจนำไปสู่การถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง (underestimation) และนั่นอาจเปิดทางให้เกิดความขัดแย้งที่ลุกลามจนควบคุมไม่ได้
ประเด็นนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บางครั้งสงครามไม่ได้เริ่มจากความตั้งใจจะสู้รบ แต่เกิดจาก “ความเข้าใจผิด” ที่แต่ละฝ่ายมีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง ถ้ากัมพูชาเชื่อว่าไทย “ไม่กล้าตอบโต้” หรือ “ไม่มีเอกภาพพอที่จะต้านทาน” พวกเขาอาจขยายบทบาทของตนในภูมิภาคมากขึ้น ทั้งในมิติทางทหาร การทูต และแม้แต่การโน้มน้าวประชาคมโลก
นอกจากนี้ ยังมีมิติที่ลึกกว่านั้น คือการทดสอบว่า ไทยสามารถ “ยืนหยัดในเวทีภูมิรัฐศาสตร์” ได้มากน้อยเพียงใด ท่ามกลางการเปลี่ยนดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศต่างๆ อย่างจีน เวียดนาม หรือแม้กระทั่งมหาอำนาจโลก ล้วนกำลังจับตาท่าทีของไทยและกัมพูชาอย่างใกล้ชิด
หากไทยไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในสถานการณ์เล็กๆ เช่นนี้ อาจส่งผลกระทบเชิงลึกต่อความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งชายแดนถูกขยายให้กลายเป็น “ประเด็นระหว่างประเทศ” มากกว่าความขัดแยงเฉพาะท้องถิ่น
กล่าวโดยสรุป การปะทะกับไทยในเวลานี้ จึงไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันประเทศในสายตาของกัมพูชาเท่านั้น แต่คือการ “วัดพลัง” แบบนุ่มลึก ซึ่งไทยจำเป็นต้องเข้าใจเจตนารมณ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง และวางท่าทีให้รอบคอบ เฉียบขาด และมีเอกภาพสูงสุด
การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาในปี 2025 ไม่อาจมองได้ว่าเป็นเพียง “ความขัดแย้งเรื่องพรมแดน” ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันโดยปราศจากเจตนา หากแต่สะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ลึกซึ้งของผู้นำกัมพูชา — โดยเฉพาะ กลุ่มตระกูลฮุน — ที่กำลังใช้ “ความขัดแย้ง” เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรม เสริมความมั่นคงของอำนาจ และปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยมในห้วงเวลาที่อำนาจกำลังเปลี่ยนผ่าน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เหตุการณ์ในแนวชายแดนไม่ใช่ “ปลายเหตุ” ของความตึงเครียด หากแต่เป็น “ต้นทาง” ของกลยุทธ์เชิงอำนาจที่ออกแบบอย่างมีระบบ โดยอาศัย “ความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” เป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนเป้าหมายระยะยาว
การวิเคราะห์ทั้ง 3 ประเด็นหลัก — การสร้างวิกฤตเพื่อรวมอำนาจ, การปลุกกระแสชาตินิยม, และการทดสอบความแข็งแกร่งของรัฐบาลไทย — ล้วนชี้ไปยังจุดเดียวกันว่า การปะทะครั้งนี้มิได้เกิดจากเหตุบังเอิญ หรือการเข้าใจผิดตามแนวชายแดน แต่เป็นกระบวนการที่มีแบบแผน มีเป้าหมาย และมีจังหวะเวลา
ในระบอบการเมืองแบบที่อำนาจถูกรวมศูนย์อยู่ใน “ตระกูล” หรือ “กลุ่มอำนาจเฉพาะ” ความมั่นคงของผู้นำไม่ได้อยู่ที่การบริหารประเทศให้ดีเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องทำให้ประชาชน รู้สึก ว่ารัฐบาล “ยังแข็งแกร่ง” และ “มีศัตรูให้ต่อสู้” ตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ความสนใจของสังคมหันไปจ้องมองปัญหาภายในหรือความไม่เป็นธรรมในเชิงโครงสร้าง
ดังนั้น การเปิดแนวปะทะกับไทยจึงกลายเป็น “ภารกิจเชิงยุทธศาสตร์” ที่สามารถสร้างผลประโยชน์ได้หลายด้าน พร้อมกันในคราวเดียว ทั้งในมิติทางการเมือง ความมั่นคง และภาพลักษณ์ของผู้นำกัมพูชารุ่นใหม่
เมื่อเราตระหนักว่าอีกฝ่ายใช้ “ความขัดแย้งเป็นเครื่องมือ” ไม่ใช่เพียงเพื่อยึดพื้นที่ แต่เพื่อยึดความชอบธรรมทางอำนาจ สิ่งที่ประเทศไทยควรทำจึงไม่ใช่การตอบโต้ด้วยความโกรธหรือปฏิกิริยาเฉพาะหน้า แต่คือการ วางกลยุทธ์ระยะยาว ที่รอบคอบ และเข้าใจ “ธรรมชาติของเกมนี้”
ไทยต้องระมัดระวังไม่ให้การตอบสนองใดๆ ถูกนำไปบิดเบือนเป็นหลักฐานว่า “ไทยรุกราน” เพราะนั่นจะยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ฝั่งตรงข้ามพยายามสร้างในสื่อของตน
ไทยควรเดินเกมสองหน้าอย่างสมดุล — ด้านหนึ่งรักษาอธิปไตยและความมั่นคงตามแนวชายแดนอย่างเด็ดขาด แต่อีกด้านต้องเปิดประตูทางการทูตเสมอ เพื่อแสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่า “ไทยเลือกสันติภาพ แต่ไม่ยอมจำนน”
หากกัมพูชายังคงดำเนินพฤติกรรมแบบเดิม ไทยต้องใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ASEAN หรือ UN ในการชี้แจงสถานการณ์ พร้อมทั้งผลักดันให้มีผู้สังเกตการณ์หรือการตรวจสอบอย่างอิสระ
ไทยต้องส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า “ทุกฝ่ายพูดเสียงเดียวกัน” ทั้งกองทัพ ฝ่ายการเมือง และประชาชน เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามจับจุดอ่อนและใช้เป็นเครื่องมือทางการทูต หรือสร้างวาทกรรมว่าภายในไทยยังแตกแยก
สุดท้ายนี้ ต้องไม่ลืมว่า การเผชิญหน้าในระดับทวิภาคีระหว่างไทย–กัมพูชา อาจลุกลามกลายเป็นความไม่มั่นคงในระดับภูมิภาค หากไม่ได้รับการจัดการอย่างรอบคอบ สงครามข่าวสารที่ฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ควบคู่กับความเคลื่อนไหวทางทหาร เป็นสิ่งที่ไทยต้อง “ตั้งรับด้วยสมอง มากกว่าด้วยกำลัง”
การที่ไทยจะรักษาเสถียรภาพของตนเอง พร้อมกับคงไว้ซึ่งบทบาทผู้นำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้นั้น ไม่ใช่เพียงเรื่องการประลองกำลัง หากแต่เป็นเรื่องของ “การอ่านเกมให้ออก และเดินเกมให้เหนือกว่า”
การปะทะในครั้งนี้จึงไม่ใช่จุดจบ แต่คือบทเริ่มต้นของการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน — ซึ่งไทยจะต้องไม่ประมาทเป็นอันขาด
"เมื่อความขัดแย้งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรักษาเหตุผล ความมั่นคง และศักดิ์ศรีของชาติไว้อย่างมั่นคง"
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |