30 กรกฎาคม 2025
แหล่งอ้างอิง: Reuters, AP News, The Guardian, Al Jazeera, Politico, The Washington Post, New York Post, The Australian, Channel News Asia, Investing.com
แม้เสียงปืนจะเงียบลง แต่รอยแผลทางเศรษฐกิจยังลึก รัฐบาลเร่งเยียวยาผลกระทบกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่ภาษีสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคุกคามเสถียรภาพในระยะยาว นักลงทุนหันกระจายความเสี่ยง ขณะที่ประชาชนชายแดนยังรอความมั่นคงอย่างแท้จริง
ภายหลังเหตุปะทะทางทหารระหว่างไทยและกัมพูชาในช่วงวันที่ 24–28 กรกฎาคม 2025 รัฐบาลไทยได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจเบื้องต้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวไว้สูงถึง 307.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 10,000 ล้านบาทไทย ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ความเสียหายนี้มีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่:
ต้นทุนจากการอพยพประชาชน – การเคลื่อนย้ายประชาชนมากกว่า 260,000–300,000 คนในจังหวัดชายแดน เช่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ และสระแก้ว จำเป็นต้องใช้งบประมาณด้านที่พักพิง อาหาร น้ำสะอาด การรักษาพยาบาล และการควบคุมความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดภาระด้านงบประมาณอย่างรุนแรงในระดับท้องถิ่น
ความเสียหายของทรัพย์สิน – อาคารบ้านเรือน โรงเรียน ศูนย์สุขภาพ วัด และโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในรัศมีการยิง ได้รับความเสียหายจากการปะทะอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะฝั่งไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครือข่ายสาธารณูปโภคที่ต้องปิดใช้งานชั่วคราว เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา และถนนในหลายอำเภอชายแดน
การปิดด่านชายแดนและชะลอการค้า – มาตรการปิดด่านชายแดนหลายแห่งเพื่อควบคุมสถานการณ์ความมั่นคง ส่งผลให้มูลค่าการค้าชายแดนลดลงกว่า 18% ในช่วงสัปดาห์แรกหลังเหตุปะทะ โดยเฉพาะด่านช่องสะงำและช่องจอม ซึ่งเป็นเส้นทางนำเข้าสินค้าเกษตรและอุปกรณ์อุตสาหกรรมจากกัมพูชาสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
เพื่อรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้น รัฐบาลไทยได้จัดตั้ง งบเยียวยาและฟื้นฟูเบื้องต้น 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 771 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมกันวางแนวทางดำเนินมาตรการสำคัญ ดังนี้:
โครงการสินเชื่อฟื้นฟูดอกเบี้ยต่ำ สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ เช่น เกษตรกรที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตทัน หรือผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ชายแดน
ยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีท้องถิ่น ชั่วคราวสำหรับกิจการขนาดเล็ก เช่น ร้านค้า โรงแรมขนาดเล็ก หรือรถรับจ้างที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
งบประมาณเยียวยารายจังหวัด กระจายลงสู่จังหวัดที่มีการอพยพมากที่สุด เช่น ศรีสะเกษ สระแก้ว และอุบลราชธานี
การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานเร่งด่วน เช่น ถนนพัง, โรงเรียนที่ได้รับความเสียหาย, และระบบสาธารณูปโภคชุมชน เพื่อให้พื้นที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ
รักษาการนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เร่งดำเนินการโดยไม่ต้องรอกระบวนการงบประมาณตามปกติ โดยใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อความคล่องตัวสูงสุด
หนึ่งในแรงกดดันนอกเหนือจากผลกระทบภายในประเทศคือการคุกคามจาก การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยโดยสหรัฐฯ ซึ่งอาจสูงถึง 36% หากความขัดแย้งยังดำเนินต่อไป ทั้งนี้ ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าการแก้ไขสถานการณ์ความรุนแรงเป็นเงื่อนไขในการเจรจาการค้าฉบับใหม่ระหว่างไทย-สหรัฐฯ
กระทรวงการคลังของไทย จึงได้ ปรับประมาณการ GDP ปี 2025 ลงอย่างรอบคอบ เหลือ 2.2% พร้อมเตือนว่า “ครึ่งหลังของปีอาจเผชิญกับแรงกดดันจากการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น หากภาษีของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้”
ขณะเดียวกัน ในภาคการท่องเที่ยว — หนึ่งในเสาหลักเศรษฐกิจไทย — ก็ได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นกัน โดยมีการปรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2025 จาก 36.5 ล้านคน เหลือเพียง 34.5 ล้านคน ซึ่งยังคงต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวก่อนการระบาดของโควิด‑19 ที่ระดับ 40 ล้านคน
นักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนหลายรายมองว่า สถานการณ์ชายแดนและแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ กำลังกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินของไทยและภูมิภาค:
นักลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้มีแนวโน้ม หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการค้าและโลจิสติกส์ชายแดน และหันไปให้ความสนใจกับ หุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และพลังงานหมุนเวียน ที่มีความยืดหยุ่นและพึ่งพาตลาดภายในประเทศมากกว่า
ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีการชะลอการพัฒนาโครงการในแนวตะเข็บชายแดน ขณะที่กรุงเทพฯ และ EEC ยังได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนจีนและญี่ปุ่นที่มองเห็นเสถียรภาพเชิงโครงสร้างในระยะกลาง
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนลงเล็กน้อย จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่กังวลต่อเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังคงอยู่ในกรอบ 35.50–36.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า "ยังไม่จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงตลาดเงินในขณะนี้"
หมวดหมู่ | รายละเอียด |
---|---|
มูลค่าความเสียหาย | มากกว่า 10,000 ล้านบาท (~307.88ล้านดอลลาร์ฯ) จากการอพยพ ทรัพย์สินเสียหาย และการปิดด่านชายแดน |
งบฟื้นฟูบรรเทา | 25,000 ล้านบาท (~771ล้านดอลลาร์ฯ) ครอบคลุมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ยกเว้นภาษี และงบเยียวยารายจังหวัด |
GDP ปี 2025 | ปรับลดอย่างระมัดระวังเหลือ 2.2% (จาก 2.1%) โดยคาดว่าส่งออกจะเติบโตขึ้น 5.5% |
นักท่องเที่ยวต่างชาติ | ปรับเป้าหมายลดลงเหลือ 34.5 ล้านคน (จากเดิม 36.5 ล้านคน) ยังต่ำกว่าเป้าหมายก่อนโควิด (~40 ล้านคน) |
แรงงานกัมพูชา | คิดเป็น 12% ของแรงงานต่างด้าวในไทย ความตึงเครียดอาจส่งผลต่อภาคการผลิตและการส่งออกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
ผลกระทบรูปธรรม | ความเสียหายต่อทรัพย์สิน การอพยพ การปิดด่านการค้า และความเปราะบางทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น |
แม้รัฐบาลไทยจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทั้งในเชิงงบประมาณและการทูตเพื่อควบคุมสถานการณ์และฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยเสี่ยงในระดับโครงสร้างยังคงอยู่ ทั้งจากแรงกดดันภายนอก เช่น ภาษีจากสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ และแรงกดดันภายในประเทศจากภาคครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่เพียง “จะฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน” แต่คือ “ไทยจะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้กลับมาอีกได้อย่างไร”
เพราะในโลกเศรษฐกิจปัจจุบัน ความมั่นคงและเสถียรภาพคือทุนที่สำคัญยิ่งกว่าทองคำ
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |