วันที่เผยแพร่: 27-7-2025
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2025 นายปรัก สุคน รัฐมนตรีต่างประเทศและรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้เชิญเอกอัครราชทูตต่างประเทศ 27 ประเทศเข้าพบเพื่อชี้แจงสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้น หลังเหตุปะทะเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่พื้นที่มอมเบย (จุดชายแดนสามเหลี่ยมมรกต) ซึ่งทำให้ทหารกัมพูชาหนึ่งนายเสียชีวิต โดยกัมพูชาระบุว่าเหตุปะทะดังกล่าวเกิดจากฝ่ายไทยยิงก่อน จากนั้นไทยดำเนินมาตรการฝ่ายเดียวหลายอย่าง เช่น ลดเวลาทำการด่านชายแดน ขู่ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งออกไฟฟ้าไปกัมพูชา ทำให้กัมพูชาตอบโต้ด้วยการหยุดนำเข้าไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากไทย ปรับเวลาทำการด่านฝั่งตน แบนภาพยนตร์ไทย และใช้มาตรการปกป้องผลประโยชน์ชาติอื่นๆ กัมพูชายังได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน เพื่อขอให้ตัดสินข้อพิพาทใน 4 พื้นที่พิพาท ได้แก่ พื้นที่มอมเตย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊จ และปราสาทตาเครเบย โดยย้ำว่าต้องการแก้ปัญหาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ไทยปฏิเสธอำนาจศาลโลกและต้องการแก้ผ่านการเจรจาทวิภาคีแทน นอกจากนี้ วันที่ 16 มิถุนายน สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา (อดีตนายกฯ) ยังออกคำขาดให้ไทยเปิดด่านชายแดนที่ฝ่ายไทยปิดภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นกัมพูชาจะปิดด่านทุกแห่งไม่ให้ไทยส่งออกผักผลไม้เข้าประเทศ
(แหล่งข่าว: Khmer Times)
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2025 ทางการทหารไทยที่จังหวัดสระแก้วได้ออกข้อจำกัดใหม่ ไม่อนุญาตยานพาหนะที่จดทะเบียนในกัมพูชาให้ผ่านเข้าไทยทางด่านชายแดนสระแก้ว มาตรการฝ่ายเดียวนี้ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดในความขัดแย้งชายแดนระหว่างสองประเทศ ซึ่งกำลังปะทุขึ้นจากกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนในช่วงเวลานั้น
(แหล่งข่าว: Khmer Times)
รัฐบาลกัมพูชาโดยกระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธรายงานของสื่อไทยที่กล่าวหาว่ากัมพูชาจ้างแฮกเกอร์เกาหลีเหนือเพื่อโจมตีหน่วยงานในไทย โดยยืนยันว่า “รัฐบาลกัมพูชาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกลุ่มแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ” และระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็น “ความพยายามมุ่งร้ายของฝ่ายไทยในการทำลายชื่อเสียงกัมพูชาบนเวทีระหว่างประเทศ” ในทางกลับกัน กระทรวงฯ เผยว่าช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบบออนไลน์เกือบทั้งหมดของรัฐบาลกัมพูชาตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากกลุ่มแฮกเกอร์สัญชาติไทยชื่อ “BlackEye-Thai” แต่ความพยายามเหล่านั้นถูกสกัดกั้นไว้ได้ทั้งหมด
(แหล่งข่าว:Khmer Times)
ขณะความตึงเครียดยังคงคุกรุ่น กัมพูชาได้ย้ำจุดยืนปฏิเสธข้อกล่าวหาจากฝั่งไทยในกรณีโจมตีไซเบอร์ โดยแถลงว่า “รัฐบาลกัมพูชาไม่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮกเกอร์เกาหลีเหนือแต่อย่างใด” พร้อมประณามข้อกล่าวหานั้นว่าเป็น “ความพยายามมุ่งร้ายของฝ่ายไทยที่จะทำลายชื่อเสียงของกัมพูชาในเวทีโลก” นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังชี้ว่าระบบของตนเองต่างหากที่ถูกโจมตี โดยระบุถึงกรณีที่กลุ่มแฮกเกอร์ “BlackEye-Thai” จากไทยพยายามเจาะระบบราชการกัมพูชา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ (สอดคล้องกับรายงานของ Khmer Times) เหตุการณ์นี้ตอกย้ำสงครามข่าวสารและความไม่ไว้ใจกันระหว่างสองชาติ ท่ามกลางวิกฤตความสัมพันธ์ที่ลุกลามจากปัญหาชายแดนสู่โลกไซเบอร์
(แหล่งข่าว:The Phnom Penh Post)
รัฐบาลกัมพูชาประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยลงสู่ระดับต่ำสุด โดยให้เหลือเพียงอุปทูต (Second Charge d’Affaires) หลังทางการไทยมีคำสั่งเรียกทูตไทยกลับจากพนมเปญและขับเอกอัครราชทูตกัมพูชาออกจากไทย กัมพูชามีคำสั่งให้นำเจ้าหน้าที่การทูตของตนทั้งหมดกลับจากสถานทูตในกรุงเทพฯ และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทูตไทยในกัมพูชากลับประเทศเช่นกัน เป็นการโต้ตอบทันทีต่อการที่ไทยลดความสัมพันธ์ลงก่อนหน้า ฝ่ายไทยอ้างสาเหตุจากกรณีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดในเขตชายแดน โดยกล่าวหาว่ากัมพูชาลอบวางกับระเบิดใหม่ในฝั่งไทยเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม แต่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นอย่างแข็งขัน โดยชี้ว่าพื้นที่พิพาทยังมีกับระเบิดหลงเหลือจากสงครามก่อนหน้า และตำหนิทหารไทยที่ออกนอกเส้นทางลาดตระเวนที่ตกลงกันไว้ตามบันทึกความเข้าใจปี 2000 จนเข้าสู่ดินแดนกัมพูชา การลดระดับความสัมพันธ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดที่พุ่งสูงสุดในรอบหลายปีระหว่างสองประเทศ
(แหล่งข่าว:Khmer Times)
เช้าตรู่วันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ได้เกิดการปะทะด้วยอาวุธอย่างรุนแรงตามแนวชายแดนจังหวัดพระวิหาร หลังจากกองกำลังไทยเปิดฉากรุกรานข้ามพรมแดนเข้าไปยังฝั่งกัมพูชาโดยไม่มีการยั่วยุ กองทัพกัมพูชาแถลงประณามการกระทำของไทยอย่างรุนแรง รายงานว่าเวลาประมาณ 6:30 น. ทหารไทยปีนขึ้นยึดพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมและลักลอบนำกำลังโอบล้อมฐานทหารกัมพูชา ก่อนจะใช้โดรนบินลาดการณ์เมื่อเวลา 7:04 น. และเปิดฉากยิงจริงใส่ทหารกัมพูชาเมื่อประมาณ 8:30 น. ต่อมาเวลา 8:46 น. ทหารไทยได้ยิงใส่ฝ่ายกัมพูชาที่ปราสาทตาเมือนธมอีกระลอก ทำให้กัมพูชาจำเป็นต้องยิงตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองในเวลา 8:47 น. นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชายังรายงานว่าไทยขยายพื้นที่โจมตีไปถึงบริเวณมอมเบยในฝั่งกัมพูชา โดยกองทัพอากาศไทยใช้เครื่องบินรบ F-16 ทิ้งระเบิด 2 ลูกในเขตกัมพูชา ใกล้วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ (เชิงปราสาทพระวิหาร) สร้างความเสียหายแก่เขตโบราณสถานมรดกโลกอย่างหนัก เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นโดยที่ฝ่ายไทยอ้างว่าเป็นการป้องกันตัว แต่กัมพูชาย้ำว่าไม่มีการเคลื่อนกำลังหรือยั่วยุใดๆ จากฝั่งตน จึงถือว่าไทยละเมิดอธิปไตยและบุกโจมตีอย่างไม่มีเหตุอันควร
กระทรวงกลาโหมกัมพูชายังระบุว่าการกระทำของไทย “เป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ บรรทัดฐานอาเซียน และหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง” พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำของไทยอย่างเด็ดขาดและกดดันให้ไทยแสดงความรับผิดชอบต่อการรุกรานครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชายืนยันว่าแม้ต้องสู้รบป้องกันตนเอง แต่ยังมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีทางกฎหมายและการทูต โดยเตือนว่ากองทัพกัมพูชาพร้อมปกป้องอธิปไตยของชาติ “ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” ตามสิทธิป้องกันตนเองที่บัญญัติไว้ในมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ การปะทะในวันดังกล่าวนับเป็นความรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 13 ปีระหว่างไทย-กัมพูชา และส่งผลให้ความสัมพันธ์สองประเทศย่ำแย่ลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
(แหล่งข่าว:Khmer Times)
ช่วงเช้ามืดของวันที่ 25 กรกฎาคม 2025 กองทหารไทยได้พยายามบุกยึดพื้นที่วัดตาเครเบย (ปราสาทตาควาย) บริเวณชายแดนจังหวัดอุดรมีชัย ซึ่งอยู่ในการควบคุมของกัมพูชา ส่งผลให้เกิดการยิงปะทะกันอย่างหนักระหว่างสองฝ่ายในพื้นที่ดังกล่าว การโจมตีครั้งนี้ถูกฝ่ายกัมพูชาตอบโต้กลับอย่างแข็งขัน จนสามารถยับยั้งการรุกคืบของทหารไทยและรักษาการควบคุมวัดตาเครเบยไว้ได้ กองกำลังฝ่ายกัมพูชายังคงยืนหยัดแนวป้องกันอย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้ความพยายามยึดพื้นที่ของฝ่ายไทยไม่ประสบความสำเร็จ เหตุการณ์นี้ถือเป็นความต่อเนื่องของการสู้รบข้ามวันหลังจากการปะทะที่พระวิหาร โดยจุดวัดตาเครเบยกลายเป็นสมรภูมิสำคัญอีกแห่งหนึ่งในความขัดแย้งครั้งนี้
(แหล่งข่าว:Khmer Times)
รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เพื่อขอความช่วยเหลือในการยุติการรุกรานทางทหารของไทยที่ชายแดนโดยทันที เอกอัครราชทูตเศีย เกียว ผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำ UN กล่าวปราศรัยในการประชุมฉุกเฉินที่นิวยอร์ก เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศหันมาสนใจวิกฤตครั้งนี้ โดยประณามไทยที่โจมตีดินแดนกัมพูชาอย่างไม่มีเหตุผล ส่งผลให้พลเรือนบาดเจ็บล้มตาย และโบราณสถานสำคัญอย่างปราสาทพระวิหารได้รับความเสียหายอย่างหนัก กัมพูชาร้องขอให้ UNSC มีมติเรียกร้อง “การหยุดยิงโดยทันทีและปราศจากเงื่อนไข” และให้ไทย “ยุติการกระทำทางทหารทุกอย่าง” เคารพอธิปไตยของกัมพูชาเพื่อฟื้นฟูสันติภาพในภูมิภาคโดยด่วน
กัมพูชาย้ำว่าต้องการแก้ปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธีในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ โดยได้ดำเนินการยื่นเรื่องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) พิจารณาข้อพิพาทเขตแดนทั้ง 4 จุดแล้ว และยังเรียกร้องให้ UNSC จัดส่งคณะผู้แทนตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยังพื้นที่สู้รบตามแนวชายแดน ณ วันที่ยื่นเรื่อง กัมพูชาเปิดเผยว่าการสู้รบกับไทยตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม เป็นต้นมา ทำให้ฝ่ายกัมพูชาได้รับความสูญเสียทั้งชีวิตทหารและพลเรือนรวมแล้วอย่างน้อย 13 ราย (ทหาร 5 นาย และพลเรือน 8 คน) และบาดเจ็บอีกกว่า 70 คน ขณะที่ประชาชนกว่า 37,000 คนต้องอพยพหนีภัยความไม่สงบตามแนวชายแดน กัมพูชายืนยันว่าจะยืนหยัดปกป้องอธิปไตยของตน แต่อยากให้ความขัดแย้งยุติโดยเร็วผ่านกระบวนการทางการทูตและกฎหมาย พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคเอาไว้
(แหล่งข่าว: The Phnom Penh Post)
กระทรวงการบินพลเรือนกัมพูชาได้ประกาศปิดน่านฟ้าเหนือพื้นที่ชายแดนที่มีการสู้รบกับไทยเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในสถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้ สายการบินทุกแห่งได้รับคำสั่งให้นำเครื่องบินปรับเส้นทางบินใหม่ ไม่ให้ผ่านน่านฟ้าใกล้เขตสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย มาตรการดังกล่าวมีขึ้นขณะที่กองทัพไทยใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายในกัมพูชา และเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อากาศยานพลเรือนอาจตกอยู่ในอันตรายจากการสู้รบ
(แหล่งข่าว: The Phnom Penh Post)
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยื่นมือเข้ามามีบทบาทไกล่เกลี่ยวิกฤตครั้งนี้ โดยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เขาได้ต่อสายพูดคุยกับทั้งสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายภูมิธรรม เวชยชัย ผู้รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย เพื่อกดดันให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบ ทรัมป์ประกาศว่าผู้นำไทยและกัมพูชาต่าง “เห็นพ้องหลักการที่จะเปิดการเจรจาหยุดยิงโดยทันที” หลังสงครามชายแดนดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 วันและคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก พร้อมกันนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้เตือนทั้งสองประเทศว่าหากยังดื้อดึงทำสงครามต่อไป สหรัฐฯ อาจทบทวนข้อตกลงทางการค้าและความช่วยเหลือต่างๆ โดยเขาบอกชัดเจนว่า “เลือกสันติภาพ มิฉะนั้นจะไม่มีข้อตกลงการค้า” ซึ่งถือเป็นแรงกดดันทางเศรษฐกิจให้ไทยและกัมพูชาหันหน้ามาแก้ปัญหาด้วยสันติ การเคลื่อนไหวของทรัมป์และเสียงเรียกร้องจากประชาคมโลกครั้งนี้สร้างความหวังว่าจะสามารถยุติความขัดแย้งรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาได้ผ่านการเจรจาทางการทูต
(แหล่งข่าว: Khmer Times)
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |