วันที่รายงาน: 25-7-2025
ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่ชายแดนยังคงทวีความรุนแรง ขณะที่กัมพูชากล่าวหาว่าฝ่ายไทยเป็นผู้รุกรานก่อนและจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ ภายใต้การสนับสนุนจากประชาชนและสื่อภายในประเทศ การใช้มาตรการทางการทูตและศาลโลกเพื่อหาทางออกยังคงเป็นแนวทางที่รัฐบาลกัมพูชายึดมั่น ขณะที่การปะทะล่าสุดยังคงสร้างความวิตกกังวลในระดับภูมิภาคและประชาคมโลก
ปัจจุบันความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างกองกำลังสองประเทศหลายระลอกในช่วงปี 2025 สื่อภายในกัมพูชาได้รายงานสถานการณ์เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นมุมมองของรัฐบาลกัมพูชาและความรู้สึกของประชาชนชาวกัมพูชาเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนดังกล่าว รายงานนี้สรุปเหตุการณ์สำคัญ การแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของรัฐบาลกัมพูชา ตลอดจนการนำเสนอข่าวและปฏิกิริยาของสื่อและประชาชนกัมพูชาเกี่ยวกับวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา
แผนที่แสดงแนวชายแดนไทย-กัมพูชา (เส้นสีแดง) จากบริเวณจุดบรรจบสามพรมแดนไทย-ลาว-กัมพูชา (ด้านบนขวา) ลงมาถึงอ่าวไทย (ด้านล่างซ้าย) พื้นที่พิพาทสำคัญ เช่น บริเวณเทือกเขาดงรักที่ตั้งปราสาทพระวิหาร และจุดยุทธศาสตร์อื่นๆ ตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศบ่อยครั้ง
ปลายพฤษภาคม 2025 – การปะทะครั้งแรก: เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 กองทหารกัมพูชาและไทยได้ปะทะกันบริเวณพื้นที่พิพาทในเขตที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมมรกต” (ชายแดนจุดบรรจบไทย-กัมพูชา-ลาว) เหตุการณ์ยิงปะทะสั้นๆ ราว 10 นาทีนี้ส่งผลให้ทหารกัมพูชายศร้อยโทคนหนึ่งเสียชีวิต โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์สองประเทศตึงเครียดขึ้นมาทันที
มิถุนายน 2025 – ความพยายามเจรจาและความตึงเครียดที่ยังคงอยู่: หลังเหตุปะทะปลายพฤษภาคม ผู้นำทั้งสองฝ่ายพยายามลดความตึงเครียด เช่น กองทัพระดับสูงของไทยและกัมพูชาได้พบปะกันเมื่อ 29 พฤษภาคมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ อย่างไรก็ตาม การเจรจาทางทหารเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนไม่เป็นผล ฝ่ายไทยเตรียมเสริมกำลังชายแดน ขณะที่กัมพูชาก็มีท่าทีแข็งกร้าวตอบโต้ ส่งผลให้ทั้งสองประเทศเริ่มเพิ่มกำลังพลตลอดแนวชายแดน นอกจากนี้ มีรายงานว่าฝ่ายไทยอ้างว่าพบพลเรือนกัมพูชาข้ามแดนเข้ามาอย่างต่อเนื่องและมองว่าเป็น “การยั่วยุ” ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน ความสัมพันธ์ยิ่งย่ำแย่เมื่อเกิดกรณี คลิปเสียงสนทนาระหว่างอดีตนายกฯ ฮุน เซน กับนายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร หลุดเผยแพร่ต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน สร้างความปั่นป่วนทางการเมืองในไทยและบั่นทอนความเชื่อใจระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ (กรณีนี้ฮุน เซนเป็นฝ่ายบันทึกและเผยแพร่คลิปเอง) แม้เหตุนี้จะเป็นประเด็นการเมืองภายในของไทย แต่ก็ส่งผลทางอ้อมต่อบรรยากาศความขัดแย้งระหว่างสองชาติ
ปลายมิถุนายน 2025 – มาตรการปิดชายแดนและมาตรการตอบโต้: สถานการณ์ลุกลามถึงขั้นที่ฝ่ายไทยมีคำสั่งปิดจุดผ่านแดนหลายแห่งตลอดแนวชายแดนในวันที่ 22 มิถุนายน 2025 โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ฝ่ายกัมพูชาตอบโต้ทันทีด้วยการสั่งปิดจุดผ่านแดนฝั่งตนบางแห่งเช่นกัน และออกมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าจากไทยบางประเภทเพื่อกดดันฝ่ายไทย (เช่น สั่งห้ามนำเข้าผลไม้และผักจากไทย รวมถึงระงับการเผยแพร่สื่อบันเทิงไทยบางส่วน) รายงานจาก Khmer Times ระบุว่าการที่กัมพูชาประกาศระงับนำเข้าผลไม้และผักทั้งหมดจากไทยนั้น เป็นการตอบสนองต่อ “คำข่มขู่และถ้อยคำดูหมิ่น” ที่มาจากกองทัพไทยในช่วงความตึงเครียดครั้งนี้ มาตรการตอบโต้ดังกล่าวสร้างแรงกดดันให้กับผู้ส่งออกและเกษตรกรฝั่งไทยอย่างมาก ตามรายงานข่าวเศรษฐกิจของกัมพูชาเองก็ประเมินว่าการปิดชายแดนไทย-กัมพูชาอาจทำให้ไทยสูญเสียรายได้ส่งออกหลายหมื่นล้านบาทหากสถานการณ์ยืดเยื้อ
กรกฎาคม 2025 – ปะทะรุนแรงหลายจุด: ความขัดแย้งระอุขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2025 เกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ชายแดนจังหวัดอุบลราชธานีของไทย ส่งผลให้บาดเจ็บสาหัส (ขาขาด) สถานการณ์ตึงเครียดถึงขีดสุดในวันถัดมา 24 กรกฎาคม 2025 เมื่อกองกำลังไทยและกัมพูชาเปิดฉากสู้รบกันอีกครั้งในบริเวณปราสาทตาเมือนธม (Ta Moan Thom) จังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา การปะทะขยายวงกว้างออกไปตามจุดพิพาทต่างๆ หลายแห่งทั้งในจังหวัดอุดรมีชัยและจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นแนวหน้าเหตุการณ์ครั้งนี้ สื่อ Khmer Times รายงานว่ามีการสู้รบอย่างหนักในหลายพื้นที่ชายแดนทั้งสองจังหวัดดังกล่าว โดยฝ่ายกัมพูชา “ยืนหยัดตรึงกำลังไว้ได้และยิงตอบโต้กลับ” ในทุกจุดปะทะ การสู้รบรุนแรงนี้ถือเป็นการปะทะใหญ่ที่สุดระหว่างสองประเทศในรอบกว่าทศวรรษ ทำให้หลายฝ่ายวิตกว่าอาจบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งเต็มรูปแบบ
ความเสียหายและผลกระทบ: การปะทะในเดือนกรกฎาคมส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย ทั้งทหารและพลเรือน แม้รายงานจากสองฝ่ายจะระบุตัวเลขต่างกันมากก็ตาม ฝ่ายไทยรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 15 คน (ในจำนวนนี้ 14 คนเป็นพลเรือนของไทย) ส่วนทางกัมพูชาอ้างว่ามีพลเรือนตนเองเสียชีวิตเพียง 1 คนเท่านั้น นอกจากนี้ การสู้รบยังทำให้ประชาชนตามแนวชายแดนทั้งสองฝั่งอพยพหนีภัยจำนวนมาก (บางสื่อระบุว่ามีผู้พลัดถิ่นรวมกันนับแสนคน) เหตุการณ์ตลอดสองวันนั้นทวีความรุนแรงจนสื่อบางแห่งเปรียบเทียบว่าเข้าขั้น “ภาวะสงคราม” มีรายงานว่าฝ่ายไทยถึงกับสั่งใช้กำลังทางอากาศ (นำเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นโจมตีเป้าหมายฝ่ายกัมพูชา) เพื่อตอบโต้การปะทะครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นการยกระดับความขัดแย้งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง นอกจากนี้ กัมพูชายังอ้างว่ากองทัพไทยมีการใช้กระสุนชนิดระเบิดกระจาย (cluster bombs) ในการยิงถล่มเป้าหมายฝั่งกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อการใช้ยุทธภัณฑ์ต้องห้ามดังกล่าว (ตามรายงานของ Cambodianess เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2025) อย่างไรก็ดี การสู้รบได้ลดความร้อนแรงลงหลังทั้งสองฝ่ายเริ่มกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาในช่วงสิ้นเดือนกรกฎาคม
ยืนยันว่าสู้เพื่อป้องกันตัว: ตลอดวิกฤตครั้งนี้ ผู้นำและหน่วยงานทางการของกัมพูชาได้เน้นย้ำว่ากัมพูชาไม่ได้ต้องการสงคราม หากแต่ “ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องป้องกันตนเอง” เมื่อถูกรุกล้ำจากฝ่ายไทย นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเน็ต ออกมายืนยันหลังเหตุปะทะปลายเดือนพฤษภาคมว่า ฝ่ายตนไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งรุนแรงกับไทย แต่จำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และเขาได้ประกาศเตรียมนำเรื่องพิพาทเขตแดนนี้ขึ้นสู่การตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อหาทางออกอย่างสันติในระยะยาว โฆษกกองทัพกัมพูชา พอล เภล (Mao Phalla) ก็แถลงตรงกันว่าการปะทะเมื่อ 28 พฤษภาคมเป็นเพราะทหารไทย “เปิดฉากยิงก่อนใส่ทหารกัมพูชาที่อยู่ในสนามเพลาะฝั่งกัมพูชา” ขณะที่ฝ่ายไทยอ้างตรงกันข้ามว่ากัมพูชายิงก่อน ซึ่งกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นโดยสิ้นเชิง
ประท้วงไทยกรณี “โจมตีก่อน” และดำเนินการทางกฎหมาย: หลังเหตุการณ์ 28 พฤษภาคม กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้มีหนังสือประท้วงไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ โดยเรียกร้องให้ฝ่ายไทย “สอบสวนเหตุการณ์อย่างละเอียดโดยทันที” พร้อมย้ำว่าการกระทำของฝ่ายไทยถือเป็น “การโจมตีโดยปราศจากการยั่วยุ” ต่อกัมพูชา ถ้อยคำดังกล่าวสะท้อนจุดยืนว่ากัมพูชาเห็นว่าไทยรุกรานก่อน กัมพูชาจึงต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตัว นอกจากนี้ รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของฮุน มาเน็ต ได้เดินหน้าตามที่ประกาศไว้ โดยในเดือนมิถุนายน รัฐสภากัมพูชา (ซึ่งพรรครัฐบาลครองเสียงข้างมาก) ได้ให้ความเห็นชอบสนับสนุนแนวทางการยื่นเรื่องต่อศาลโลก ICJ เพื่อให้ตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทชายแดนกับไทยในพื้นที่พิพาทสำคัญ 4 แห่ง รวมถึงบริเวณปราสาทตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด และตาควาย ที่เกิดการปะทะล่าสุดด้วย หากไทยไม่ยินยอมร่วมมือ กัมพูชายืนยันว่าจะดำเนินการฝ่ายเดียวเพื่อให้ศาลโลกพิจารณา กัมพูชาย้ำว่าการยุติข้อพิพาทโดยกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นทางออกถาวรและดีกว่าการปล่อยให้ความขัดแย้งยืดเยื้อจนอาจนำไปสู่การปะทะซ้ำในอนาคต
ท่าทีของผู้นำกัมพูชารุ่นก่อน: สมเด็จฮุน เซน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา (และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา) ก็มีบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาในวิกฤตครั้งนี้ โดยได้กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2025 เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศสนับสนุนการตัดสินใจของกัมพูชาที่จะใช้กลไกกฎหมายระหว่างประเทศแก้ไขข้อพิพาทชายแดน โดยย้ำว่าแนวทางศาลโลกคือวิธีที่ “หลีกเลี่ยงสงคราม” และหากไทยจริงใจก็ไม่ควรกลัวการขึ้นศาล สมเด็จฮุน เซนกล่าวว่า “ใครที่หลีกเลี่ยงศาลก็แสดงว่ามีความผิดอย่างชัดเจน ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจจริงก็ไม่ควรจะกลัวการขึ้นศาล” พร้อมทั้งตำหนิบุคคลหรือฝ่ายใดๆ ที่ยุให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารกับไทย นอกจากนี้เขายังย้ำว่ากัมพูชา “ไม่มีความประสงค์จะสู้รบ” แต่ก็ “มิได้หมายความว่าเราไม่มีกำลัง เรามีกำลังและอาวุธเพียงพอที่จะปกป้องตนเองและผืนแผ่นดินของเรา” ถ้อยแถลงเหล่านี้สะท้อนว่าผู้นำกัมพูชาทั้งอดีตและปัจจุบันต้องการแสดงจุดยืนในเวทีโลกว่า กัมพูชาเลือกหนทางสันติและยึดหลักกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมตอบโต้หากถูกรุกราน
การชี้แจงต่อประชาคมโลก: รัฐบาลกัมพูชาได้ดำเนินการทางการทูตควบคู่ไปด้วย โดยในช่วงต้นมิถุนายน สมาชิกรัฐบาลได้เชิญคณะทูตประเทศต่างๆ มาประชุมชี้แจงสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งย้ำว่ากัมพูชากำลังผลักดันแนวทางแก้ไขผ่านศาลโลก นอกจากนี้ กัมพูชายังได้ส่งผู้แทนไปหารือกับผู้นำในภูมิภาค เช่น นายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต ได้หยิบยกประเด็นความขัดแย้งนี้ขึ้นพูดคุยกับ ตัน สรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เพื่อขอให้ช่วยเรียกร้องทั้งสองฝ่ายอดกลั้นและแก้ไขปัญหาตามหลักการสันติของอาเซียน ซึ่งผู้นำมาเลเซียก็ได้ออกมาแถลงเรียกร้องให้ไทย-กัมพูชายุติความรุนแรงและหันหน้าเจรจาโดยเร็ว ด้านประเทศมหาอำนาจอย่างจีนซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของกัมพูชา ก็มีท่าทีสนับสนุนการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาเช่นกัน โดย Khmer Times รายงานว่ารัฐบาลจีนได้ออกแถลงว่าจีน “มีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองประเทศจะแก้ไขข้อพิพาทผ่านการเจรจา” พร้อมเสนอความช่วยเหลือในการเป็นตัวกลางประสานให้คู่กรณีหันหน้าคุยกัน
ข้อตกลงยุติการปะทะชั่วคราว: หลังการปะทะใหญ่ปลายกรกฎาคม ฝ่ายทหารไทยและกัมพูชาได้ติดต่อประสานงานกันเพื่อหลีกเลี่ยงการสู้รบเพิ่มเติม มีรายงานว่าทั้งสองฝ่ายตกลงจะ “ปรับกำลังทหารของตนให้อยู่ในจุดที่ลดความตึงเครียด” ในพื้นที่แนวหน้า เพื่อป้องกันเหตุปะทะซ้ำรอย ข้อตกลงดังกล่าวมีขึ้นหลังการสู้รบช่วงสั้นๆ แต่รุนแรง และถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการผ่อนคลายวิกฤต แม้สถานการณ์โดยรวมยังคงละเอียดอ่อนก็ตาม
ย้ำการรุกรานของไทยและชัยชนะของกัมพูชา: สื่อกระแสหลักของกัมพูชา เช่น Khmer Times และ Phnom Penh Post นำเสนอข่าวความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยการเน้นกรอบเรื่องที่ว่า ฝ่ายไทยเป็นผู้รุกรานก่อน ขณะที่กัมพูชาเป็นฝ่ายป้องกันตนเอง ตัวอย่างเช่น Khmer Times พาดหัวข่าวระบุว่าเกิด “การโจมตีอย่างรุนแรงโดยกองกำลังไทย” ใส่กัมพูชาบริเวณปราสาทตาเมือนธม ในช่วงเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ทำให้กัมพูชาต้องตอบโต้ด้วยการยิงต่อสู้กลับไปทันที นอกจากนี้ Khmer Times ยังเสนอข่าวความคืบหน้าการสู้รบในลักษณะให้กำลังใจฝ่ายตน เช่นรายงาน “CONFLICT UPDATE” ที่ยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคง “ควบคุมปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และพื้นที่ม่อมเบยได้ 100%” โดยสามารถ “ผลักดัน ‘ผู้รุกราน’ ชาวไทยให้ออกไปจากพื้นที่ได้ทั้งหมด” ถ้อยคำเช่น “ผู้รุกราน” ที่ใช้ในสื่อนี้สะท้อนมุมมองแบบชาตินิยมที่ยืนอยู่ข้างรัฐบาลตนอย่างชัดเจน
รายงานความสูญเสียของฝ่ายไทย: แม้สื่อกัมพูชาจะไม่เน้นตัวเลขความสูญเสียของฝ่ายตน แต่ก็ให้ความสนใจกับผลกระทบที่เกิดกับฝ่ายไทยและภาพลักษณ์ของไทยในสายตาสากล Phnom Penh Post ได้เผยแพร่บทความแสดงความเห็น (op-ed) ชื่อ “Thailand Opened Fire — Cambodia had No Choice but to Defend Itself” โดยเนื้อหาชี้ว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากใช้ความรุนแรงก่อน และกัมพูชาจำเป็นต้องปกป้องตนเองเพราะไม่มีทางเลือกอื่น บทความดังกล่าวยังเตือนถึงอันตรายของความขัดแย้งที่อาจบานปลาย หากไทยไม่หยุดยั่วยุ ในทำนองเดียวกัน Khmer Times รายงานคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ไทยบางรายที่ยอมรับว่าสถานการณ์ชายแดนครั้งนี้อาจ “นำไปสู่สงคราม” หากควบคุมไม่ดี และระบุยอดความสูญเสียฝ่ายไทยตามที่รัฐบาลไทยแถลง (เช่น จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตในฝั่งไทย) เพื่อชี้ให้เห็นว่าความดื้อดึงของรัฐบาลไทยกำลังสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนของตนเองอย่างไร พร้อมกันนั้น สื่อกัมพูชาชี้ว่าฝ่ายไทยเองก็ถูกนานาชาติวิจารณ์ โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานเรื่องการใช้อาวุธต้องห้ามอย่างลูกระเบิดแตก (cluster bombs) ซึ่งสื่อกัมพูชาหลายแห่งรีบเสนอข่าวว่ารัฐบาลตนได้ยื่นประท้วงต่อองค์การสหประชาชาติให้เอาผิดไทยในกรณีนี้ทันที
สะท้อนความเดือดร้อนของประชาชนกัมพูชาและภาพความโหดร้ายของฝ่ายตรงข้าม: สื่อกัมพูชาได้เผยแพร่เรื่องราวและคลิปวิดีโอจากพื้นที่จริงเพื่อเน้นย้ำความโหดร้ายของฝ่ายตรงข้าม ตัวอย่างเช่น Khmer Times เผยแพร่วิดีโอที่โพสต์โดยทหารกัมพูชาคนหนึ่งไม่กี่นาทีก่อนเกิดการปะทะที่ปราสาทตาเมือนธม โดยในวิดีโอดังกล่าวทหารกัมพูชาคนนั้นแสดงความกล้าหาญและกล่าวปกป้องผืนแผ่นดิน ซึ่งช่วยเร้าอารมณ์รักชาติของผู้ชมเป็นอย่างมาก (ข้อมูลจาก Khmer Times) นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวสัมภาษณ์ชาวบ้านกัมพูชาตามแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ชาวบ้านในตำบลก๊กมน อำเภอบันเตียอัมปิล จังหวัดอุดรมีชัย ที่ระบุว่าหมู่บ้านของตน “ถูกทหารไทยยิงปืนใหญ่ถล่ม” สร้างความเสียหายแก่บ้านเรือนและทำให้ชาวบ้านต้องหนีภัย ข่าวลักษณะนี้ในสื่อกัมพูชาช่วยสร้างความรู้สึกเห็นใจต่อผู้ประสบภัยชาวกัมพูชาและความโกรธแค้นต่อการกระทำของฝ่ายไทย ในขณะเดียวกันก็เป็นการตอกย้ำว่ากัมพูชากำลังอยู่ในฐานะฝ่ายถูกกระทำ
กรอบประวัติศาสตร์และกฎหมาย: สื่อกัมพูชายังมักหยิบยกประวัติศาสตร์ข้อพิพาทเขตแดนมาประกอบการรายงานเพื่อสร้างน้ำหนักให้ฝ่ายตน ยกตัวอย่างเช่น Khmer Times และ Cambodianess ได้ตีพิมพ์บทความอธิบายพื้นหลังกรณีพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยย้ำว่าศาลโลก (ICJ) เคยตัดสินให้ ปราสาทพระวิหาร ตกเป็นของกัมพูชาตั้งแต่ปี 1962 และเห็นว่าพื้นที่พิพาทอื่นๆ เช่น บริเวณปราสาทตาเมือน-ตาควาย ควรต้องยึดหลักกฎหมายและหลักเขตแดนตามแผนที่อาณานิคมฝรั่งเศสที่เคยใช้อ้างอิง ฝ่ายไทยถูกมองว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกและปลุกกระแสชาตินิยมมาบดบังข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ บทความวิเคราะห์บางชิ้นในสื่อกัมพูชายังระบุด้วยว่าการที่ไทยปฏิเสธกระบวนการศาลโลกและเลือกใช้กำลังนั้น สะท้อนว่าไทย “มองเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนสำคัญกว่ากฎหมายระหว่างประเทศ” ขณะที่กัมพูชาเลือกเดินบนเส้นทางสันติที่อารยะกว่า
กระแสชาตินิยมและความรู้สึกต่อต้านไทย: ประชาชนกัมพูชาส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนจุดยืนของรัฐบาลตนอย่างเต็มที่ในกรณีข้อพิพาทชายแดน โดยประเด็นนี้ถือเป็นเรื่องศักดิ์ศรีและอธิปไตยของชาติที่ทุกภาคส่วนในกัมพูชามีฉันทคติร่วมกัน เห็นได้จากเหตุการณ์ก่อนหน้าความขัดแย้งล่าสุด เช่น กรณีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชาร่วมกันร้องเพลงชาติที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 เพื่อแสดงสิทธิอธิปไตยของกัมพูชาเหนือพื้นที่ดังกล่าว จนเกิดเป็นประเด็นพิพาททางการทูตเมื่อทางการไทยออกมาประท้วงการกระทำนี้ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้นายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต ต้องออกมาเตือนทั้งชาวกัมพูชาและไทยว่าอย่าให้อารมณ์ชาตินิยม “มาเป็นเชื้อไฟเติมความขัดแย้งชายแดน” และเรียกร้องทุกฝ่ายให้เคารพกระบวนการทางการทูต อย่างไรก็ดี เหตุการณ์นี้ก็สะท้อนว่าชาวกัมพูชาจำนวนมากมีความรู้สึกผูกพันกับดินแดนพิพาท และพร้อมจะแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์เพื่อยืนยันสิทธิของตน
เสียงสนับสนุนบนสื่อสังคมออนไลน์: เมื่อเกิดการปะทะในช่วงพฤษภาคม-กรกฎาคม กระแสในโซเชียลมีเดียของกัมพูชาปรากฏว่ามีผู้ใช้จำนวนมากโพสต์ข้อความเชิงสนับสนุนกองทัพกัมพูชาและรัฐบาล เช่น การแชร์รูปภาพทหารกัมพูชาประจำแนวชายแดนพร้อมข้อความให้กำลังใจ หรือการวิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างรุนแรงถึงการ “รุกรานผืนแผ่นดินเขมร” ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์กัมพูชาหลายคนเปรียบเหตุการณ์ครั้งนี้กับการสู้รบช่วงปี 2008-2011 ที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งฝังอยู่ในความทรงจำร่วมของชาติ และต่างประกาศว่าจะยืนหยัดอยู่ข้างกองทัพเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด ความคิดเห็นแนวนี้สอดคล้องกับท่าทีของสื่อกระแสหลัก ส่งผลให้สังคมกัมพูชาโดยรวมอยู่ในภาวะ “รวมใจเป็นหนึ่ง” ต่อสู้ภัยคุกคามจากภายนอก และไม่มีรายงานการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชาอย่างเปิดเผยในประเด็นนี้แต่อย่างใด
ความวิตกและความหวังของประชาชนตามแนวชายแดน: สำหรับประชาชนกัมพูชาที่อาศัยในพื้นที่ชายแดน เหตุการณ์สู้รบครั้งนี้สร้างทั้งความหวาดกลัวและความโกรธแค้น โดยหลายครอบครัวต้องอพยพออกจากพื้นที่สู้รบไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่ทางการจัดไว้ให้ สื่อกัมพูชารายงานบรรยากาศว่าแม้ประชาชนจะวิตกกังวลต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน แต่ส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ หลายคนให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า “ถึงลำบากอย่างไรก็ยอม ขอเพียงอย่าเสียดินแดนให้ไทย” ขณะเดียวกัน ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านของตนจากการถูกระดมยิงโดยฝ่ายไทย ได้ตอกย้ำความรู้สึกโกรธเคืองในหมู่ชาวบ้านเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ชาวบ้านในจังหวัดอุดรมีชัยที่ให้ข้อมูลกับนักข่าวว่าบ้านเรือนของตน “ถูกปืนใหญ่ไทยยิงใส่จนพัง” หลายหลัง ทำให้คนในชุมชนต่างหวาดผวาและโกรธแค้นการกระทำของฝ่ายไทย อย่างไรก็ดี ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็หวังว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะยุติลงโดยเร็วผ่านการเจรจาสันติวิธี หลายคนสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลในการนำเรื่องขึ้นศาลโลก โดยเชื่อว่าหากศาลตัดสินข้อพิพาทได้อย่างเป็นธรรม สันติภาพที่ยั่งยืนจะกลับคืนสู่พื้นที่ชายแดน และชีวิตของพวกเขาจะได้กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาล่าสุดตามการรายงานของสื่อกัมพูชาชี้ให้เห็นถึงความตึงเครียดที่ยังไม่คลี่คลายง่ายๆ ฝ่ายกัมพูชายืนกรานกล่าวโทษไทยว่าเป็นฝ่ายเริ่มการสู้รบและรุกรานดินแดน ขณะที่ตนจำต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย พร้อมทั้งใช้เวทีระหว่างประเทศกดดันไทยผ่านกระบวนการยุติธรรมและการทูต สื่อและประชาชนกัมพูชาส่วนใหญ่สนับสนุนจุดยืนนี้อย่างแข็งขันและมองวิกฤตครั้งนี้ผ่านเลนส์ชาตินิยมและประวัติศาสตร์ที่ฝังลึก ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีสัญญาณบรรเทาความตึงเครียดลงบ้างในช่วงท้ายเดือนกรกฎาคม แต่การแก้ไขข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างถาวรยังคงเป็นความท้าทายที่ทั้งสองประเทศต้องร่วมมือหาทางออกที่สันติในระยะยาวต่อไป
แหล่งอ้างอิง: Khmer Times, Phnom Penh Post, และสื่อกัมพูชาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น Cambodianess และข้อมูลเพิ่มเติมจากสำนักข่าวต่างประเทศที่อ้างถึงมุมมองของฝ่ายกัมพูชา เพื่อความครบถ้วนของบริบท
Khmer Times – “Heavy fighting ... expanded across ... Oddar Meanchey and Preah Vihear provinces”; “Cambodia controls Ta Moan Thom Temple, Ta Krabey Temple ... by ... pushing Thai invaders away”; “Thai soldiers attacked Ta Moan Thom Temple heavily ...”
Phnom Penh Post – บทความความคิดเห็น “Thailand Opened Fire — Cambodia had No Choice but to Defend Itself”
Cambodian Ministry of Foreign Affairs – หนังสือประท้วงไทยกรณีเหตุยิงปะทะ 28 พ.ค. 2025 (อ้างใน Khmer Times)
Hun Manet – คำประกาศยื่นฟ้องศาลโลก ICJ หลังเหตุปะทะ (รายงานใน Al Jazeera และ Khmer Times)
Hun Sen – สุนทรพจน์ในวุฒิสภา 16 มิ.ย. 2025 (รายงานโดย Cambodianess)
มติการค้าตอบโต้ – ข่าว Khmer Times เรื่องกัมพูชาห้ามนำเข้าผลไม้ผักจากไทยเพื่อตอบโต้การปิดด่านชายแดนของไทย
รายงานภาคประชาชน – Khmer Times สัมภาษณ์ชาวบ้านกัมพูชาที่ถูกยิงปืนใหญ่ใน จ.อุดรมีชัย
บริบทประวัติศาสตร์ – Phnom Penh Post ข่าว “PM warns of ‘nationalist rhetoric’ fuelling Thai border tensions” (19 ก.พ. 2025)
ข้อมูลประกอบจากสำนักข่าวอื่น: AP, Al Jazeera, BBC, Reuters (สำหรับยอดผู้เสียชีวิตและท่าทีสากล)
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |