สหรัฐอเมริกาเผชิญความท้าทายหลายด้านในเดือนกรกฎาคม 2025 ตั้งแต่วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในเท็กซัส ตัวเลขแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ไปจนถึงนโยบายการคลังและการค้าชุดใหม่ที่เขย่าฐานะทางการเงินของประเทศและสร้างแรงกระเพื่อมสู่เศรษฐกิจโลกและอาเซียน บทวิเคราะห์นี้เจาะลึกสถานการณ์ล่าสุด พร้อมแนวโน้มและข้อเสนอแนะสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการในภูมิภาค
รัฐเท็กซัสเผชิญกับภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี หลังฝนตกหนักต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินท้องถิ่นรายงานยอดผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 43 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนจากค่ายฤดูร้อนที่ถูกกระแสน้ำพัดหายไป และยังมีผู้สูญหายอีกกว่า 20 ราย
เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยได้มากกว่า 850 คน ขณะที่การค้นหาและกู้ภัยยังดำเนินไปอย่างเร่งด่วนภายใต้สภาพอากาศที่ยังไม่เป็นใจ
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เผยตัวเลขการจ้างงานเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 147,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย ส่งผลให้อัตราว่างงานลดลงเหลือ 4.1% จาก 4.2% ในเดือนก่อนหน้า
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแรงของตลาดแรงงานสหรัฐฯ และทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2025 สภาคองเกรสและวุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณฉบับใหญ่ชื่อว่า “One Big Beautiful Bill” ก่อนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองอย่างเป็นทางการ
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือการขยายผลของนโยบายลดภาษีปี 2017 เพิ่มงบกลาโหมอีกกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ และสนับสนุนงบประมาณสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (ICE) อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ถูกวิจารณ์ว่าอาจเพิ่มหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า และทำให้ชาวอเมริกันกว่า 10.9 ล้านคนสูญเสียสิทธิประกันสุขภาพ Medicaid
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกแถลงการณ์เตือนว่า กฎหมายงบประมาณฉบับใหม่นี้ขัดแย้งกับคำแนะนำก่อนหน้านี้ของ IMF ที่เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดขาดดุลงบประมาณลงเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ตอบโต้ว่า นโยบายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ภาษีในอนาคต
ประธานาธิบดีทรัมป์แถลงเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมแจ้งคู่ค้ารายสำคัญเกี่ยวกับแผนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ในอัตราสูงสุดถึง 70% คาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้เพื่อตอบโต้ดุลการค้าที่สหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรม
รายงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาดัลลัส ระบุว่า ผู้ประกอบการด้านพลังงานในสหรัฐฯ กว่าครึ่งวางแผนลดการลงทุนขุดเจาะในปี 2025 อันเป็นผลจากความผันผวนของราคาและนโยบายภาษีใหม่ ขณะที่สิ่งจูงใจด้านพลังงานสะอาดก็ถูกปรับลดลงกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ตามกฎหมายงบฯ ใหม่
จากรายงานการจ้างงานเดือนมิถุนายนที่ยังคงแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันด้านการคลัง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูง 5.25–5.50% ต่อไปอีกอย่างน้อย 1–2 ไตรมาส เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2%
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลหลัก อาจบีบให้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาด หากมีสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง
อุปสงค์ภายในสหรัฐฯ ยังแข็งแรง จากตลาดแรงงานที่ขยายตัวและการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบ เช่น ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม อาจได้อานิสงส์จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น
ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเล็กน้อย ทำให้แรงกดดันต่อเงินท้องถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่อนคลาย และอาจสนับสนุนการลงทุนไหลกลับบางส่วน
นโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 70% อาจกระทบผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ โดยตรง โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยและเวียดนาม
หนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่พุ่งสูง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาจสร้างความผันผวนในตลาดพันธบัตรโลก และทำให้ต้นทุนทางการเงินของประเทศเกิดใหม่สูงขึ้น
ควรจับตานโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และวางแผนกระจายตลาดส่งออกไปยังยุโรปและจีนมากขึ้น
ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินและดอกเบี้ย เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงเติบโตและตลาดแรงงานแข็งแรง แต่นโยบายการคลังและการค้าของรัฐบาลใหม่กำลังเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก ผู้ส่งออกและนักลงทุนในอาเซียนควรเตรียมพร้อมทั้งโอกาสและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างรอบคอบ
6/7/68
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,987 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,155 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |