18 สิงหาคม 2568
📝 หมายเหตุ:
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์เชิงสถานการณ์และนโยบาย โดยอ้างอิงจากข้อมูลสาธารณะและหลักการด้านความมั่นคง
มิได้มีเจตนาสร้างความขัดแย้งหรือยั่วยุให้เกิดสงคราม
ภาพที่ประกอบบทความเป็นเพียงสื่อประกอบเชิงวิชาการ ไม่ได้สะท้อนการปฏิบัติการจริงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา มีรายงานว่า ทหารไทยจำนวน 5 นายได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาขาดจากการเหยียบกับระเบิด บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา
และหากเกิดกรณี มีทหารเพิ่มอีก 1 นายเหยียบกับระเบิดซ้ำ คำถามสำคัญคือ…
นี่จะเป็น ชนวนเหตุ ให้ไทยต้องเปิดฉากรบกับกัมพูชาหรือไม่?
📌 Timeline เหตุระเบิดต่อเนื่อง (โดยสังเขป)
16 ก.ค. 2568: ทหารไทยกองกำลังลาดตระเวนเหยียบกับระเบิด (เป็นทุ่น PMN-2 รุ่นใหม่) บริเวณเนิน 481 เขตชายแดน → ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียขาอย่างรุนแรง
23 ก.ค. 2568: เกิดเหตุซ้ำ ทหารหลายรายบาดเจ็บ → กองทัพไทยตอบโต้ด้วยการสั่งปิดด่านชายแดน 4 แห่ง และปิดปราสาทโบราณ 2 แห่ง (ตาเมือนธม–ตาควาย)
9 ส.ค. 2568: ทหารไทย 3 นายได้รับบาดเจ็บ (1 นายข้อเท้าขาด) ระหว่างลาดตระเวนวางลวดหนาม บริเวณชายแดนศรีสะเกษ (เขตโดนเอาน์–กฤษณา)
9 ส.ค. 2568 (วันเดียวกัน): กองทัพสรุปสถิติ ว่านี่เป็นเหตุระเบิดครั้งที่ 4 นับจากหลังการหยุดยิง
12 ส.ค. 2568: มีรายงานซ้ำอีก—ทหารไทยบาดเจ็บสาหัสที่ข้อเท้าซ้าย ขณะลาดตระเวนใกล้ปราสาทตาเมือนธม → นับเป็นเหตุครั้งที่ 4 หรือ 5 ในรอบเดือน
📌 ภาพรวม (กลาง ก.ค.–กลาง ส.ค. 2568)
เหตุระเบิดต่อเนื่อง 5 ครั้ง ภายใน 1 เดือน
ทหารไทย บาดเจ็บอย่างน้อย 7 นาย
ในจำนวนนี้ 5 นายสูญเสียขา/ข้อเท้า
⚠️ สมมติฐานหากเกิดซ้ำอีก
หากมีผู้บาดเจ็บเพิ่มแม้เพียง 1 ราย เหตุการณ์อาจถูกตีความว่าเป็น “ความล้มเหลวในการควบคุมพื้นที่” และถูกใช้เป็น ข้ออ้างทางการเมือง–การทหาร เพื่อยกระดับมาตรการตอบโต้ (แม้ยังไม่ถึงขั้นสงครามเต็มรูปแบบก็ตาม)
พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะแนวเทือกเขาพนมดงรักและจังหวัดศรีสะเกษ–สุรินทร์–บุรีรัมย์ ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งใน “พื้นที่ปนเปื้อนกับระเบิด (Contaminated Area)” ที่หนักที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ยุคเขมรแดง (1970s–1990s): ชายแดนไทยถูกใช้เป็นฐานพักพิงและเส้นทางส่งกำลังบำรุงให้กับกองกำลังต่างๆ ส่งผลให้พื้นที่นี้ถูกฝังกับระเบิดอย่างกว้างขวาง
สงครามเย็นและความขัดแย้งในภูมิภาค: หลายฝ่าย รวมถึงกองกำลังเวียดนามที่เข้ามาในกัมพูชา ก็ใช้ “ทุ่นระเบิด” เป็นเครื่องมือชะลอการเคลื่อนกำลัง และควบคุมเส้นทางยุทธศาสตร์
ผลลัพธ์: กับระเบิดชนิดต่อต้านบุคคล (Anti-personnel mines) เช่น PMN-2 และชนิดต่อต้านรถถัง (Anti-tank mines) ถูกฝังไว้หนาแน่นหลายล้านลูกในอดีต
ไทยและกัมพูชาเคยร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ เช่น UN Mine Action Service (UNMAS) และลงนามตาม Ottawa Treaty (1997) ว่าด้วยการห้ามใช้–สะสม–ผลิตทุ่นระเบิด
มีการกวาดล้างต่อเนื่อง แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขา ป่ารก และแนวเขตแดนที่ทับซ้อน ทำให้ไม่สามารถเคลียร์ได้หมด
รายงานจาก Landmine Monitor ระบุว่า จนถึงปัจจุบัน ไทยยังมี “พื้นที่ปนเปื้อนกับระเบิด” รวมกว่า 200 ตารางกิโลเมตร
ดังนั้น เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดในปี 2568 มักถูกตีความได้ 2 มิติ
อุบัติเหตุจากพื้นที่ปนเปื้อนเก่า – เป็นไปตามความจริงเชิงประวัติศาสตร์ ที่กับระเบิดยังคงถูกฝังอยู่และยังไม่ถูกเก็บกู้ครบถ้วน
ข้อสงสัยทางยุทธวิธี – บางฝ่ายตั้งคำถามว่าอาจมี “การฝังทุ่นใหม่” หรือ “การเคลื่อนย้ายจุดปนเปื้อน” เพื่อใช้เป็นแรงกดดันทางทหาร–การเมือง
👉 สรุปลักษณะของกับระเบิดชายแดน:
ชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นพื้นที่ที่ “อ่อนไหว” เพราะแม้จะผ่านมาหลายทศวรรษหลังสงครามเย็น แต่กับระเบิดยังคงสร้างความสูญเสียได้อยู่ การที่ทหารไทยบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิด จึงเป็นเรื่องที่สามารถมองได้ทั้งในเชิง ภัยคงค้างทางมนุษยธรรม และในเชิง ความมั่นคงที่อาจถูกตีความเป็นการยั่วยุ ได้เช่นกัน
เหตุการณ์ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดต่อเนื่อง แม้จะถูกมองว่าเป็น “อุบัติเหตุในพื้นที่ปนเปื้อน” แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากแรงกดดันจากสังคมและการเมืองภายในประเทศสูงขึ้น ก็อาจทำให้รัฐบาลและกองทัพไทย ต้องเลือกแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวกว่าเดิม
ตอบโต้เชิงจำกัด (Limited Response)
ใช้กำลังเฉพาะจุด เช่น ยิงตอบโต้, ใช้ปืนใหญ่หรือโดรนสกัดเฉพาะพื้นที่ที่สงสัยว่ามีการฝังทุ่นใหม่
เป้าหมาย: เพื่อ “แสดงท่าที” แต่ไม่ขยายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
ความเสี่ยง: กัมพูชาอาจมองเป็นการละเมิด และตอบโต้กลับ
ยึด–คุมจุดยุทธศาสตร์ (Escalation of Force)
ไทยอาจเลือก “ควบคุมพื้นที่” รอบปราสาทตาเมือนธม หรือตามแนวเนินยุทธศาสตร์ เช่น เนิน 481
ใช้กำลังทหารราบ + รถหุ้มเกราะ + ปืนใหญ่ เพื่อกดดันให้ฝ่ายกัมพูชาถอย
ผลลัพธ์: แสดงพลังเหนือกว่า แต่เสี่ยงถูกกล่าวหาว่า “รุกราน”
สงครามเต็มรูปแบบ (Full-scale Conflict)
หากทหารเสียชีวิตหรือบาดเจ็บต่อเนื่อง และไม่สามารถหาทางออกทางการทูต ไทยอาจเลือกใช้กำลังเต็มรูปแบบ
อาจมีการปิดด่านถาวร, ใช้อากาศยานโจมตี, และการเคลื่อนกำลังรบเข้ายึดพื้นที่ทับซ้อน
ความเสี่ยง: เสียภาพลักษณ์ในเวทีโลก, ถูกแรงกดดันจากอาเซียน–UN และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ–การลงทุนของไทยเอง
แรงกดดันจากสังคมไทย: หากมีผู้บาดเจ็บ–เสียชีวิตเพิ่มขึ้น อารมณ์ชาตินิยมอาจกดดันให้รัฐต้อง “เอาคืน”
ท่าทีของกัมพูชา: ถ้ากัมพูชาแสดงการปฏิเสธความรับผิดชอบ และมีท่าทีแข็งกร้าว ก็เพิ่มโอกาสปะทะ
แรงกดดันจากต่างประเทศ: อาเซียน, สหรัฐฯ, จีน อาจเข้ามากดดันให้ “ไม่รบ” เพราะสงครามจะทำลายความเชื่อมั่นในภูมิภาค
ผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์: การควบคุมพื้นที่รอบปราสาท หรือเส้นทางเศรษฐกิจ อาจเป็นแรงดึงดูดสำคัญ
👉 สรุปหากไทยตัดสินใจรบตอบโต้:
หากมีเหตุซ้ำอีก เช่น “ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเพิ่มอีก 1 ราย” อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างเชิงการเมือง–ความมั่นคง เพื่อขยายการตอบโต้ แต่การจะนำไปสู่ “สงครามเต็มรูปแบบ” ขึ้นอยู่กับ แรงกดดันทางการเมืองภายใน + การทูตภายนอก ว่าจะเปิดทางหรือกดดันให้ถอย
แม้สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาจะยังไม่พัฒนาเป็น “สงครามเต็มรูปแบบ” แต่หากเหตุการณ์บานปลายจริง ผลกระทบจะกว้างไกลกว่าที่หลายคนคาดคิด ทั้งในมิติ เศรษฐกิจ สังคม การทูต และความมั่นคงของภูมิภาค
การค้าชายแดนหยุดชะงัก
ด่านสำคัญอย่างช่องสะงำ, ช่องจอม และจุดผ่านแดนถาวรอื่นๆ อาจถูกปิดยาว
มูลค่าการค้าชายแดนปีละกว่า 1.6 แสนล้านบาท อาจหายไปทันที
การลงทุน–ท่องเที่ยวกระทบหนัก
นักลงทุนต่างชาติจะชะลอการลงทุน โดยเฉพาะใน EEC, ภาคอีสาน, และจังหวัดชายแดน
การท่องเที่ยวปราสาทสำคัญ เช่น ตาพรหม, ตาเมือนธม, พระวิหาร จะหยุดชะงัก
โรงแรม–รีสอร์ตฝั่งศรีสะเกษ, สุรินทร์ และเสียมราฐ อาจสูญเสียรายได้ทันที
ค่าใช้จ่ายทางทหารเพิ่มขึ้น
งบประมาณประเทศต้องเบี่ยงไปสู่การเสริมกำลัง, ซื้ออาวุธ, และสนับสนุนกำลังพล
กดดันด้านการคลังของทั้งสองประเทศ
การอพยพและผู้ลี้ภัย
หากมีการปะทะด้วยปืนใหญ่หรืออากาศยาน ประชาชนในเขตชายแดน (ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา) อาจต้องอพยพเรือนหมื่น
ภาพ “ค่ายผู้ลี้ภัย” อาจกลับมาเหมือนยุคเขมรแดง
ความไม่มั่นคงในชีวิตประจำวัน
ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนเสี่ยงต่อการสูญเสียที่ดินทำกิน เพราะพื้นที่ถูกปิดหรือกลายเป็นสนามรบ
เกิดความหวาดกลัว และความขัดแย้งระดับชุมชน
ความสัมพันธ์ในอาเซียนสั่นคลอน
อาเซียนมีนโยบาย “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” แต่หากไทย–กัมพูชารบกันจริง จะเป็น บททดสอบใหญ่
อาจต้องมีการเรียกประชุมฉุกเฉิน หรือให้ประเทศที่ 3 เช่น อินโดนีเซีย–เวียดนาม เข้ามาไกล่เกลี่ย
การแทรกแซงจากมหาอำนาจ
จีนมีอิทธิพลในกัมพูชาสูง (ฐานทัพเรือเรียม, การลงทุน Belt & Road)
สหรัฐฯ อาจหนุนไทยเพื่อรักษาดุลอำนาจในภูมิภาค
ความขัดแย้งเล็กๆ จึงอาจกลายเป็น สนามแข่งขันของมหาอำนาจ
เสถียรภาพของภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก
หากไทย–กัมพูชาปะทะ จะกระทบเส้นทางเศรษฐกิจและการขนส่งในแถบอินโดจีน
นักลงทุนต่างชาติอาจหันไปเลือกเวียดนามหรือมาเลเซียแทนไทย–กัมพูชา
👉 สรุปผลกระทบหากเกิดการรบ ไทย–กัมพูชา
แม้ความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเป็นสงครามเต็มรูปแบบจะยัง “ไม่สูง” แต่ทุกการปะทะที่ชายแดนคือ ระเบิดเวลาทางการเมือง–เศรษฐกิจ ที่พร้อมปะทุเมื่อใดก็ได้ ผลกระทบจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ทหารแนวหน้า แต่จะลุกลามถึง เศรษฐกิจมหภาค การลงทุน ความสัมพันธ์อาเซียน และสมดุลอำนาจในอินโด–แปซิฟิก
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากการรบปะทุขึ้นจริง ไทย–กัมพูชาอาจสูญเสียมากกว่าที่ได้ และผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุด อาจไม่ใช่ทั้งสองประเทศ แต่คือ “มหาอำนาจภายนอก” ที่ใช้ความขัดแย้งนี้เป็นเวทีแสดงอิทธิพล
เดินหน้ากวาดล้างกับระเบิด (Humanitarian Demining)
เพิ่มงบประมาณและความร่วมมือกับองค์กรนานาชาติ (เช่น UN Mine Action, CMAC กัมพูชา)
ลดโอกาสเกิดเหตุซ้ำ สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกต่อไทย
เพิ่มการทหาร–การข่าว
ใช้เทคโนโลยี UAV, ดาวเทียม, และหน่วยลาดตระเวนพิเศษ
แสดงให้เห็นว่าไทยมีความพร้อมตอบโต้ หากพบการวางระเบิดโดยเจตนา
การทูตเชิงรุก
เจรจากับกัมพูชาโดยตรง และใช้ อาเซียน เป็นตัวกลาง
ลดความเสี่ยงที่จะถูกลากเข้าสู่ความขัดแย้งใหญ่
แสดงความร่วมมือเชิงสร้างสรรค์
ส่งทีมทหารช่าง–เจ้าหน้าที่ CMAC มาร่วมกวาดล้างพื้นที่ชายแดน
ใช้เป็นสัญญาณว่า “ไม่ต้องการปะทะ”
ใช้การเมืองภายในเป็นตัวนำ
หากรัฐบาลกัมพูชาต้องการสร้างความชอบธรรมภายใน อาจเลือก “แข็งกร้าว” มากขึ้น
เสี่ยงต่อการปะทะ แต่สร้างฐานคะแนนนิยมได้
จีน – อาจสนับสนุนกัมพูชา เนื่องจากผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ (ฐานทัพเรือเรียม, Belt & Road)
สหรัฐฯ – มีแนวโน้มเอียงข้างไทย เพื่อรักษาดุลอำนาจในภูมิภาค
อาเซียน – กดดันให้เกิดการเจรจา เพื่อป้องกันไม่ให้ “ไฟลาม” ไปกระทบสมดุลของภูมิภาค
สถานการณ์ถูกควบคุม (โอกาสสูง)
ทั้งสองฝ่ายใช้การทูตเป็นหลัก เหตุการณ์ถูกตีความว่า “อุบัติเหตุจากทุ่นเก่า”
ความสัมพันธ์ตึงเครียดแต่ไม่ถึงขั้นเปิดฉากรบ
เกิดปะทะประปราย (โอกาสปานกลาง)
หากมีผู้บาดเจ็บเพิ่มต่อเนื่อง เช่น อีก 1–2 นายเหยียบระเบิด
ทหารไทยอาจตอบโต้เฉพาะพื้นที่ → เกิดการยิงโต้กันประปราย
บานปลายเป็นความขัดแย้งใหญ่ (โอกาสต่ำแต่มีผลกระทบสูง)
หากถูกใช้เป็น “เครื่องมือการเมือง” ของทั้งสองประเทศ
ความขัดแย้งทวีขึ้น และถูกแทรกแซงจากมหาอำนาจ
เส้นทางอนาคตของสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะเลือกใช้ “การทหาร” หรือ “การทูต” เป็นคำตอบสุดท้าย
หากควบคุมได้ เหตุการณ์นี้จะกลายเป็น เพียงรอยแผลเก่า ของประวัติศาสตร์ชายแดน
แต่หากควบคุมไม่ได้ แม้เพียง “ทหารบาดเจ็บเพิ่มอีก 1 นาย” ก็อาจถูกขยายผลจนกลายเป็น ชนวนใหม่ของสงคราม
สถานการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนเศษที่ผ่านมา เป็นเครื่องเตือนใจว่า ความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องเริ่มจาก “การรบเต็มรูปแบบ” แต่อาจจุดไฟจากอุบัติเหตุเล็กน้อยที่ถูกตีความต่างกัน ความตึงเครียดจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของทหารแนวหน้า แต่เชื่อมโยงถึงเศรษฐกิจ การทูต และดุลอำนาจในภูมิภาค อินโด–แปซิฟิก
ไทยและกัมพูชาจึงยืนอยู่บนทางแยก—ระหว่างการเลือกใช้ “การทหาร” เพื่อตอบโต้กับระเบิดหนึ่งลูก หรือใช้ “การทูต” เพื่อสกัดไม่ให้ระเบิดลูกเล็กกลายเป็นไฟสงครามที่ยากจะดับ
“กับระเบิดทำลายขา แต่การตอบโต้ด้วยอารมณ์ อาจทำลายอนาคตของทั้งภูมิภาค”
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
คำชี้แจงเรื่องความเหมาะสม
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,610 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 281,778 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 1 ก.ย. 2568 |