แรงผลักดันเกิดจาก ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า, ต้นทุนแรงงานจีนที่สูงขึ้น, แรงกดดันด้าน CSR, และการมาจากพันธมิตรใกล้ชิด
แต่ใครจะชนะในศรตักนี้? และประเทศไทยอยู่ตรงไหนของเกม?
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โลกกำลังเผชิญ การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานครั้งใหญ่ จากแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และเทคโนโลยี ทำให้บริษัทข้ามชาติเริ่มมองหาฐานการผลิตใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเพียงประเทศเดียว
อาเซียน จึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ใหม่ที่ถูกจับตามองในฐานะ "China+1 Strategy" โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่มีมูลค่าการลงทุนมหาศาล
FDI ภาคการผลิตจากจีน → อาเซียน
ปี 2017: ~12.5 พันล้านดอลลาร์
ปี 2023: ~37.3 พันล้านดอลลาร์
⬆ เพิ่มขึ้นกว่า +198% ภายใน 6 ปี
(ที่มา: The Diplomat, Apr 2025)
สัดส่วนของจีนใน FDI ภาคการผลิตรวมของอาเซียน
ข้อมูลทางการ (ASEAN Secretariat): ราว 8%
ข้อมูลจากตลาด (fDi Markets): สูงถึง ~25%
(ที่มา: Rhodium Group, fDi Intelligence)
💡 การตีความ: ตัวเลขต่างกันเพราะวิธีเก็บข้อมูลต่างกัน—ข้อมูลทางการนับเฉพาะโครงการที่ได้รับอนุมัติและดำเนินการจริง ขณะที่ fDi Markets รวมโครงการประกาศลงทุนและ M&A ที่อาจยังไม่เริ่มดำเนินการ
เวียดนาม และ อินโดนีเซีย กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในแง่การดึงดูด FDI จากจีนและญี่ปุ่น เนื่องจากต้นทุนแรงงานต่ำกว่าและข้อตกลงการค้าเสรีครอบคลุมมากขึ้น
ประเทศ | จุดแข็งหลัก | ความท้าทาย |
---|---|---|
ไทย | โครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ดี, อุตสาหกรรมยานยนต์แข็งแกร่ง | ค่าแรงสูงกว่าเวียดนาม, แรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อม |
เวียดนาม | แรงงานราคาถูก, FTA ครอบคลุม | โครงสร้างพื้นฐานยังไม่ครบ |
อินโดนีเซีย |
ตลาดในประเทศใหญ่, ทรัพยากรธรรมชาติ |
ขั้นตอนอนุญาตซับซ้อน |
สหรัฐฯ ใช้มาตรการ "reciprocal tariff" (ภาษีตอบโต้) สำหรับสินค้าจากอาเซียน
อัตราภาษีพื้นฐาน: ราว 19–20%
กรณีเป็น transshipment: (สินค้าจากจีนส่งผ่านประเทศที่สามเพื่อเลี่ยงภาษี) → เพิ่มอีก 40%
(ที่มา: Asia Media Centre, DFDL, Reuters, Aug 2025)
📌 ผลกระทบ:
ผู้ส่งออกที่ใช้วัตถุดิบจากจีนต้องพิสูจน์ที่มาสินค้าอย่างชัดเจน
Supply Chain ต้องโปร่งใสขึ้น และบริษัทต้องลงทุนในระบบติดตามแหล่งที่มาสินค้า เช่น Blockchain
ยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมาย — เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, อาหารแปรรูปคุณภาพสูง
เร่งโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ — ท่าเรือน้ำลึก, รถไฟรางคู่, ศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ
สร้างความโปร่งใสของ Supply Chain — ใช้เทคโนโลยี Blockchain และระบบตรวจสอบย้อนกลับ
เจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ — เพื่อลดภาษีกับตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
การแข่งขันดึงดูดการลงทุนไม่ใช่แค่เรื่องต้นทุนแรงงานอีกต่อไป แต่รวมถึง ความมั่นคงของ Supply Chain, ความโปร่งใส, และการเข้าถึงตลาดโลก
ไทยอยู่ในจุดที่ต้องตัดสินใจอย่างชัดเจนว่าจะ "เป็นผู้นำด้านการผลิตมูลค่าสูง" หรือปล่อยให้โอกาสไหลไปยังเพื่อนบ้าน
"ในโลกที่ Supply Chain ถูกเขียนใหม่ ผู้ชนะไม่ใช่แค่ผู้ผลิตที่ต้นทุนต่ำ แต่คือผู้ที่เชื่อมตลาดโลกได้อย่างชาญฉลาด"
แหล่งอ้างอิง:
The Diplomat (Apr 2025) | Rhodium Group (2024) | fDi Intelligence (2024) | Asia Media Centre (2025) | DFDL Legal Update (2025) | Reuters (Aug 2025)
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,989 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |