📅 วันที่: 4 สิงหาคม 2568
หมายเหตุ: เนื้อหานี้จัดทำขึ้นเพื่อ เสนอภาพรวมของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ภายใต้บริบทการเจรจาระหว่างประเทศ โดยไม่มีเจตนาโจมตี หรือละเมิดต่อฝ่ายใด
ณ วันที่เริ่มต้นการเจรจารอบแรกระหว่างไทยและกัมพูชาเริ่มต้นการเจรจารอบแรกอย่างเป็นทางการ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือแนวทางหยุดยิงและเสริมสร้างความมั่นคงบริเวณชายแดน ภายใต้การจับตามองของสหรัฐอเมริกา จีน และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ที่เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์
การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการปะทะทางทหารบริเวณชายแดนที่คร่าชีวิตผู้คนและทำให้ประชาชนกว่า 300,000 คนต้องอพยพหนีภัยสงคราม การเจรจานี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิภาค แต่เหนือกว่านั้นคือ “เดิมพันทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย
พรมแดนไทย–กัมพูชาเป็นหนึ่งในพื้นที่การค้าชายแดนที่ใหญ่ที่สุดของไทย มูลค่ากว่า 1.6 แสนล้านบาทต่อปี แต่หากสถานการณ์กลับไปสู่ความรุนแรงอีกครั้ง ด่านสำคัญอย่างอรัญประเทศ ช่องสะงำ หรือช่องจอม จะต้องปิดหรือถูกจำกัดการผ่านแดนทันที
→ การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง รวมถึงผลไม้จากไทยจะหยุดชะงัก
→ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ และแรงงานจากกัมพูชาจะไม่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าสู่ไทยได้
→ ความเสียหายทางการค้าจะมากกว่า 80,000 ล้านบาทภายในไตรมาสเดียว
จังหวัดชายแดนที่พึ่งพาการค้าชายแดนและนักท่องเที่ยว เช่น ตราด, จันทบุรี, สระแก้ว, ปราจีนบุรี จะได้รับผลกระทบหนัก:
นักท่องเที่ยวจากกัมพูชาจะหยุดเดินทาง
ชาวไทยเองจะเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ชายแดน
โรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร ตลาดชายแดน จะขาดรายได้แบบเฉียบพลัน
คาดว่า GDP ภาคบริการของจังหวัดชายแดนฝั่งตะวันออกอาจหดตัวถึง 30–40% ในช่วง 3 เดือนแรก
แรงงานกัมพูชาในไทยมีจำนวนหลายแสนคน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม ก่อสร้าง และเกษตรกรรม หากชายแดนตึงเครียดต่อเนื่อง:
แรงงานใหม่จะไม่สามารถเดินทางเข้าไทยได้
แรงงานปัจจุบันอาจหนีกลับประเทศ หรือหลบหนีเข้าใต้ดิน
โรงงานอาจต้องลดกำลังผลิต หรือเลื่อนการส่งออก
ต้นทุนแรงงานจะสูงขึ้นทันทีจากภาวะ “คนขาด–ค่าแรงพุ่ง” โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC เช่น ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
ความตึงเครียดทางการเมืองและความเสี่ยงบริเวณชายแดนจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ” ในพื้นที่ EEC ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขตพิพาท
โครงการลงทุนใหม่จากญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ อาจถูกระงับ
นักลงทุนอาจเบนเป้าหมายไปยังเวียดนามหรือมาเลเซียที่มีเสถียรภาพกว่า
ไทยจะสูญเสียโอกาสในการแข่งขันและดึงดูดเม็ดเงินจากโครงการระยะยาว
ตลาดการเงินตอบสนองไวต่อ “ความไม่แน่นอน” มากกว่าความรุนแรงเสียอีก
หากเจรจาไม่คืบหน้า นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มถอนเงินออก
ค่าเงินบาทอ่อนลงทันที กดดันต้นทุนนำเข้า
ดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม โลจิสติกส์ และกลุ่มการค้าชายแดนจะตกฮวบ
หากสหรัฐฯ เห็นว่าไทยไม่สามารถจัดการความขัดแย้งได้ อาจใช้มาตรการกดดัน เช่น:
ลดสิทธิประโยชน์ทางการค้า (GSP)
ออกคำเตือนด้านความเสี่ยงทางการลงทุน
ชะลอความร่วมมือในระดับยุทธศาสตร์
ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย–สหรัฐฯ จึงอาจสั่นคลอน
ด่านปิด → ขนของไม่ได้ → ของขาดตลาด → ราคาพุ่ง
สินค้าจำเป็น เช่น ข้าว น้ำมัน ยา ของใช้ทั่วไป อาจขึ้นราคา 20–50%
ประชาชนในพื้นที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง และเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อรัฐ
อาจกลายเป็นปัจจัยลุกลามด้านสังคม
ขณะที่ผู้เจรจาจากไทยและกัมพูชานั่งลงบนโต๊ะเจรจา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันนี้ ชะตากรรมของแรงงาน แม่ค้า โรงงาน นักลงทุน และเกษตรกรริมชายแดนไทยนับล้านคน กำลังแขวนอยู่บนคำตอบเพียงไม่กี่บรรทัดในข้อตกลงหยุดยิง
ไม่ว่าจะเพื่อหยุดกระสุน หรือรักษาเงินในกระเป๋าของประชาชน การเจรจาครั้งนี้สำคัญเกินกว่าจะล้มเหลว
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
คำชี้แจงเรื่องความเหมาะสม
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,630 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 281,798 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 1 ก.ย. 2568 |