29 กรกฎาคม 2568
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: Reuters, Al Jazeera, Associated Press, Radio Free Asia, Khmer Times, Phnom Penh Post
📝 หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ การวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ และการสื่อสารเชิงนโยบายเท่านั้น โดยอ้างอิงจากข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฏในแหล่งข่าวสากลและการวิเคราะห์สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ผู้จัดทำไม่มีเจตนาใส่ร้าย ดูหมิ่น หรือแสดงความเกลียดชังต่อบุคคล ชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ภาพบุคคลที่ใช้ในบทความมีเพื่อประกอบเนื้อหาและบริบทการวิเคราะห์ มิได้มีเจตนาทำลายชื่อเสียงหรือแสดงอคติส่วนตัว
ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาบริเวณชายแดนเป็นปัญหายืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ โดยทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนและกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทโบราณตามแนวชายแดนตั้งแต่ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส ตัวอย่างสำคัญคือกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินในปี 2013 ให้กัมพูชามีสิทธิ์ครอบครองพื้นที่รอบปราสาท ส่งผลให้ไทยต้องถอนกำลัง แต่ข้อพิพาทพื้นที่อื่นๆ ยังคงค้างอยู่ ความตึงเครียดเคยปะทุเป็นเหตุปะทะรุนแรงช่วงปี 2008–2011 จนมีผู้เสียชีวิตราว 15–20 ราย ก่อนจะสงบลงและปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2025 ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ
ในช่วงต้นปี 2025 ได้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่เพิ่มความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ:
กุมภาพันธ์ 2025: ทหารกัมพูชาพากรุ๊ปนักท่องเที่ยวกัมพูชาเข้าเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม (Prasat Ta Moan Thom) ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนฝั่งไทย และมีการร้องเพลงชาติของกัมพูชาที่บริเวณดังกล่าว ทำให้ฝ่ายไทยเข้าห้ามโดยอ้างว่าขัดต่อข้อตกลงการท่องเที่ยว ส่งผลให้ไทยส่งหนังสือเตือนไปยังกัมพูชาและระบุว่าการร้องเพลงชาติในพื้นที่พิพาท “เป็นเรื่องไม่เหมาะสม”
ปลายพฤษภาคม 2025: เกิดการปะทะด้วยอาวุธในพื้นที่พิพาทสามเหลี่ยมมรกต (จุดรอยต่อชายแดนไทย-กัมพูชา-ลาว) ส่งผลให้ทหารกัมพูชานายหนึ่งเสียชีวิต ฝ่ายต่างๆ ต่างกล่าวโทษกันว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ความตึงเครียดจึงทวีสูงขึ้นตั้งแต่นั้นมา
มิถุนายน 2025: กัมพูชาตอบโต้ไทยทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน โดยประกาศลดการพึ่งพาไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากไทย และสั่งระงับการนำเข้าผลไม้ ผัก น้ำมัน และแก๊สหุงต้มจากไทย อ้างเหตุผลเรื่อง “ภัยคุกคาม” จากฝ่ายไทย นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์กัมพูชายังระงับการฉายละครไทยเพื่อแสดงท่าทีไม่พอใจ (ช่วงเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต ของกัมพูชา ยังประกาศว่ากัมพูชาเตรียมพร้อมทุกด้านหากไทยละเมิดอธิปไตย)
23 มิถุนายน 2025: ทหารไทยนายหนึ่งเหยียบกับระเบิดบริเวณชายแดนจังหวัดอุบลราชธานีจนสูญเสียขา ไทยกล่าวหาว่าเป็นกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาฝังไว้ เหตุการณ์นี้นำไปสู่การที่ไทยเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำพนมเปญกลับประเทศ และขับเอกอัครราชทูตกัมพูชาออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ก่อนสถานการณ์จะยิ่งวิกฤตขึ้น (ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาฝังกับระเบิดและมองว่าการตอบโต้ของไทยเกินกว่าเหตุ)
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเสื่อมทรามลงอย่างหนักจนกระทั่งเกิดการปะทะทางทหารเต็มรูปแบบในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2025
การปะทะเริ่มต้น (24 ก.ค. 2025): เช้าวันที่ 24 กรกฎาคม ได้เกิดการยิงปะทะกันด้วยอาวุธบริเวณใกล้ปราสาทตาเมือนธม เขตจังหวัดสุรินทร์ของไทย ตรงข้ามกับจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่ทั้งสองฝ่ายส่งกำลังตรึงพื้นที่มาหลายสัปดาห์ ก่อนหน้านั้นมีรายงานว่ากัมพูชาส่งโดรนเข้ามาลาดตระเวนและมีกำลังพลพร้อมเครื่องยิงจรวดเคลื่อนเข้าประชิดฐานทหารไทย ทำให้ฝ่ายไทยมองว่าเป็นการยั่วยุ ฝ่ายไทยอ้างว่าทหารกัมพูชาเปิดฉากยิงโจมตีก่อน รวมทั้งยิงจรวดตกใส่ชุมชนฝั่งไทย ทำให้ไทยตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 6 ลำบินข้ามพรมแดนโจมตีเป้าหมายฝ่ายกัมพูชา นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ไทยใช้กำลังทางอากาศในข้อพิพาทนี้ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายืนยันว่ายิงตอบโต้หลังจากที่ทหารไทย “เปิดการโจมตีด้วยอาวุธ” และกล่าวหาว่าเครื่องบินรบไทยได้ทิ้งระเบิดในเขตกัมพูชาก่อน จึงจำเป็นต้องป้องกันอธิปไตยของตน
ขยายตัวของการสู้รบ (25–26 ก.ค. 2025): การปะทะดำเนินต่อเนื่องและลุกลามไปตามแนวชายแดนหลายจุด จากเดิมเริ่มที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม ก็เกิดการยิงตอบโต้ในจุดอื่นๆ รวมประมาณ 12 แห่งภายในวันที่ 25 กรกฎาคม (เพิ่มขึ้นจาก 6 จุดในวันแรก) ทั้งสองฝ่ายใช้ทั้งอาวุธเบา ปืนใหญ่ และจรวดเข้าใส่กัน ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงใช้กำลังทางอากาศโจมตีเป็นระยะ สถานการณ์ทวีความรุนแรงจนรักษาการนายกรัฐมนตรีไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เตือนว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนมีแนวโน้ม “บานปลายกลายเป็นสงคราม” หากไม่สามารถยับยั้งได้ ในวันที่ 25 กรกฎาคม ไทยประกาศใช้กฎอัยการศึกใน 8 อำเภอติดชายแดนเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อยและอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยง ส่วนกัมพูชาก็มีคำสั่งให้ปิดพรมแดนและถอนเจ้าหน้าที่การทูตบางส่วนออกจากไทยเช่นกัน
การสูญเสียและพลเรือนได้รับผลกระทบ: ตลอดสองสามวันแรก การปะทะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนที่อยู่ท่ามกลางการยิงต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย มีรายงานว่ากระสุนปืนใหญ่ของกัมพูชาลูกหนึ่งตกใส่ปั๊มน้ำมันในจังหวัดศรีสะเกษของไทยเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย บาดเจ็บอีก 10 รายในเหตุการณ์เดียว นอกจากนี้ยังมีการยิงโจมตีตลาดและหมู่บ้านในจังหวัดสุรินทร์และอุบลราชธานี จนมีพลเรือนเสียชีวิตอีกอย่างน้อย 3 รายในวันดังกล่าว ฝ่ายไทยระบุว่ายอดผู้เสียชีวิตฝั่งตนเพิ่มเป็น 19 รายภายในวันที่ 26 ก.ค. โดยส่วนใหญ่เป็นประชาชนพลเรือน (รวมถึงเด็กวัย 8 ขวบหนึ่งราย) ส่วนฝั่งกัมพูชามีรายงานผู้เสียชีวิต 13 รายในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายรวมกันมากกว่า 130 คน
การสู้รบส่งผลให้ประชาชนต้องอพยพหนีตายจำนวนมาก โดยฝั่งไทย มีการอพยพประชาชนกว่า 138,000 คน ออกจากชุมชนชายแดนในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ไปยังศูนย์พักพิงเกือบ 300 แห่งที่จัดเตรียมไว้ภายในประเทศ (รวมผู้ป่วยในโรงพยาบาลชายแดนที่ต้องย้ายด้วย) ส่วนฝั่งกัมพูชา มีประชาชนอย่างน้อย 20,000 คน จากจังหวัดพระวิหารและใกล้เคียงต้องหนีออกจากพื้นที่สู้รบเช่นกัน สถานการณ์ผู้ลี้ภัยเลวร้ายลงจนมีภาพพระสงฆ์และวัดตามแนวชายแดนถูกปรับเป็นหลุมหลบภัยกันระเบิด และชุมชนต้องร่วมกันบริจาคอาหาร น้ำ และสิ่งของจำเป็นเพื่อช่วยเหลือผู้อพยพทั้งสองฝั่ง
อาวุธที่ถูกนำมาใช้: ในการสู้รบครั้งนี้มีการใช้อาวุธหนักหลายประเภท ซึ่ง ฝ่ายไทย ยอมรับว่าได้ใช้ทั้งปืนใหญ่ รถหุ้มเกราะ ตลอดจนเครื่องบินขับไล่โจมตีข้ามแดน ขณะที่ ฝ่ายกัมพูชา ถูกฝ่ายไทยกล่าวหาว่ายิงจรวดหลายลูกตกในพื้นที่ชุมชนของไทย และมีการใช้โดรนลาดตระเวนในเขตพิพาท ประเด็นสำคัญคือเรื่อง “ระเบิดลูกปราย” (cluster munitions) ซึ่งทางกัมพูชาอ้างว่าไทยได้นำมาใช้ในการโจมตีด้วย ฝ่ายหน่วยงานเก็บกู้กับระเบิดของกัมพูชา (CMAA) ได้ออกมา ประณามอย่างรุนแรงการใช้ระเบิดลูกปรายโดยกองกำลังไทย และเตือนถึงอันตรายด้านมนุษยธรรมที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากระเบิดประเภทนี้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างและหลงเหลือวัตถุระเบิดย่อยที่เสี่ยงต่อพลเรือนในระยะยาว นอกจากนี้ กัมพูชายังระบุว่าเครื่องบินรบไทยได้ทิ้งระเบิดสองลูกในเขตจังหวัดพระวิหารของตน จนสร้างความเสียหายแก่ปราสาทพระวิหารบางส่วน ซึ่งทางการกัมพูชาเตรียมเรียกร้องค่าเสียหายจากไทยต่อไป (ข้อมูลจากแหล่งข่าวกัมพูชา)
สถานการณ์ช่วงท้าย (27–29 ก.ค. 2025): หลังการสู้รบดำเนินไปถึงวันที่ 4–5 ทั้งสองฝ่ายเริ่มส่งสัญญาณยอมเจรจาเพื่อหยุดยิง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากนานาชาติ (ดูรายละเอียดในหัวข้อถัดไป) ภายในวันที่ 28 ก.ค. ผู้นำไทยและกัมพูชาได้พบปะกันที่ประเทศมาเลเซียและบรรลุข้อตกลง หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขในทันที ให้มีผลตั้งแต่เวลา เที่ยงคืนของวันที่ 28 (เข้าสู่วันที่ 29 ก.ค.) การสู้รบที่ดำเนินมา 5 วัน ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป อย่างน้อย 38 คน (ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน) และทำให้ประชาชนกว่า 300,000 คน ต้องพลัดถิ่น ถือว่ายุติลงชั่วคราวจากข้อตกลงนี้
ในช่วงเช้าของวันที่ 29 ก.ค. สถานการณ์โดยรวมสงบลง ไม่มีเสียงปืนใหญ่หรือระเบิดเพิ่มเติมตามแนวชายแดน แม้ฝ่ายทหารไทยจะอ้างว่ามีเหตุยิงปะทะย่อยบางจุดหลังเวลาหยุดยิง (และออกแถลงการณ์กล่าวหาว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลง) แต่ฝ่ายผู้นำรัฐบาลไทยก็ยืนยันว่า “ไม่มีการยกระดับสู้รบเพิ่ม” และสถานการณ์โดยรวมอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ทางด้านกัมพูชา โฆษกกระทรวงกลาโหมยืนกรานว่า ไม่มีการยิงต่อสู้ใดๆ หลังข้อตกลงหยุดยิงมีผล พร้อมทั้งนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต กล่าวในเช้าวันที่ 29 ว่า “แนวหน้าเงียบสงบลงตั้งแต่หลังเที่ยงคืน” ทั้งสองฝ่ายตกลงจะจัดการประชุมระดับผู้บัญชาการทหารในเช้าวันที่ 29 เพื่อหารือกลไกลดความตึงเครียดเพิ่มเติม แต่การพบปะดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนดเวลาใหม่ในขณะนั้น
การปะทะระยะ 5 วันนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมีนัยสำคัญ โดย ยอดผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 38 ราย แยกเป็นฝ่ายไทยประมาณ 25 ราย (ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน รวมทั้งเด็กวัย 8 ขวบ 1 ราย) และฝ่ายกัมพูชาราว 13 ราย ผู้บาดเจ็บสองฝ่ายรวมกันกว่า 130 คน และจำนวนนี้บางส่วนมีอาการสาหัสจากสะเก็ดระเบิดและแรงระเบิด ความสูญเสียด้านชีวิตส่วนใหญ่มาจากการโจมตีใส่พื้นที่ชุมชน เช่น เหตุการณ์ยิงจรวดของกัมพูชาถูกสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่งในฝั่งไทย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 6 ราย และบาดเจ็บ 10 รายดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ากระสุนปืนใหญ่ตกใส่ตลาดและบ้านเรือนหลายหลัง พื้นที่บางส่วนกลายเป็นซากปรักหักพัง – บ้านหลังหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษถูกแรงระเบิดถล่มจนเหลือเพียงเศษซากไม้และโครงเหล็กบิดเบี้ยว หลังโดนกระสุนปืนใหญ่ยิงตรงจากฝั่งกัมพูชา ทำให้หลังคาบ้านพังลงมา สายไฟและวงกบหน้าต่างเสียหายหมดสิ้น อาคารร้านค้าในหมู่บ้านตามแนวชายแดนต้องปิดเงียบ ประชาชนจำนวนมากละทิ้งทรัพย์สินและสัตว์เลี้ยงไว้เบื้องหลังขณะหนีภัยการสู้รบ หลายครอบครัวต้องใช้ชีวิตในศูนย์ผู้อพยพเป็นเวลาหลายวันโดยไม่รู้ว่าบ้านของตนจะยังอยู่ดีหรือไม่เมื่อสถานการณ์สงบลง
นอกเหนือจากความเสียหายทางกายภาพ การสู้รบครั้งนี้ยังสร้างผลกระทบทางจิตใจและสังคมอย่างมากต่อชุมชนชายแดน ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชาต่างหวาดผวาต่อเสียงระเบิดและปืนใหญ่ หลายคนต้องนอนในที่พักชั่วคราวที่แออัดโดยปราศจากความมั่นใจว่าจะได้กลับบ้านเมื่อใด มีรายงานภาพที่น่าประทับใจของกลุ่มจิตอาสาในท้องถิ่น เช่น กลุ่มผู้สูงอายุในจังหวัดสุรินทร์ของไทยที่มารวมตัวกันบริจาคของใช้จำเป็นและจัดกิจกรรมรำวงสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้อพยพในศูนย์พักพิง เพื่อคลายความตึงเครียดจากสถานการณ์ความรุนแรง ขณะเดียวกันพระสงฆ์ตามวัดชายแดนไทยก็เปิดวัดเป็นที่พักพิง โดยบางวัดถึงขั้นสร้างหลุมหลบภัยใต้ดินอย่างง่ายสำหรับหลบระเบิดเพื่อปกป้องพระและชาวบ้านที่ยังอยู่ในพื้นที่
ผลกระทบทางโบราณสถาน: กัมพูชาอ้างว่าการโจมตีทางอากาศของไทยได้สร้างความเสียหายแก่บางส่วนของปราสาทพระวิหาร (มรดกโลกของยูเนสโก) และเตรียมเรียกร้องให้ไทยชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยยังไม่ได้ยืนยันรายละเอียดในเรื่องนี้ และประเด็นดังกล่าวอาจกลายเป็นข้อพิพาททางการทูตต่อไปในอนาคต
ข้อกล่าวหาเรื่องอาชญากรรมสงคราม: การใช้ระเบิดลูกปรายโดยฝ่ายไทย (ตามคำกล่าวอ้างของกัมพูชา) กำลังถูกจับตามองจากองค์กรด้านมนุษยธรรม เนื่องจากอาวุธชนิดนี้ถูกห้ามใช้โดยอนุสัญญาระหว่างประเทศบางฉบับ (แม้ไทยและกัมพูชายังไม่ได้ร่วมลงนามในอนุสัญญาห้ามระเบิดลูกปรายของสหประชาชาติ) หน่วยงาน CMAA ของกัมพูชาเตือนว่าระเบิดลูกปรายที่ยังไม่ระเบิดจะตกค้างเป็นภัยในชุมชนไปอีกยาวนาน และเรียกร้องให้ฝ่ายไทยหยุดใช้อาวุธลักษณะนี้ทันที นอกจากนี้ กัมพูชายังกล่าวหาไทยว่ามีการยิงปืนใหญ่โจมตี “เป้าหมายพลเรือน” เช่น โรงเรียนและโรงพยาบาล ซึ่งไทยปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง และระบุว่ากองทัพไทยมุ่งโจมตีแต่เป้าหมายทางทหารเท่านั้น ข้อกล่าวหาเหล่านี้อาจต้องมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานกลางหรือองค์กรระหว่างประเทศในภายหลัง เพื่อพิจารณาว่ามีการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศหรือไม่
ฝ่ายไทย: รัฐบาลไทยภายใต้การนำของรักษาการนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย เน้นย้ำว่าความขัดแย้งครั้งนี้เป็น “ประเด็นอ่อนไหว” ที่ต้องแก้ไขโดยสันติวิธีและเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ไทยยืนยันอธิปไตยเหนือพื้นที่พิพาทและเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงพรมแดนที่ผ่านมา นายภูมิธรรมกล่าวว่ารัฐบาลไทยพยายามอย่างดีที่สุดที่จะ ยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลาย และติดต่อสื่อสารกับผู้นำกัมพูชาเพื่อหาทางออกตั้งแต่ช่วงแรกของวิกฤต พร้อมกันนี้ ไทยได้ดำเนินมาตรการฉุกเฉินหลายอย่าง เช่น การประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่เสี่ยง การ ปิดด่านพรมแดนทั้งหมดที่ติดกับกัมพูชา เพื่อป้องกันเหตุลุกลาม และการตั้งศูนย์อพยพในพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชน ในเชิงท่าทีทางการทูต ฝ่ายไทยได้ ลดระดับความสัมพันธ์ ด้วยการเรียกทูตไทยกลับและส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ (เมื่อ 23 ก.ค.) เป็นการกดดันทางการทูตก่อนหน้าที่จะเกิดการสู้รบใหญ่ อย่างไรก็ตาม ไทยย้ำว่าเปิดช่องให้การทูตเสมอหากกัมพูชายุติการกระทำที่ไทยมองว่าเป็นการละเมิด (คือการวางกับระเบิดและการรุกล้ำเขตแดนตามคำกล่าวอ้างของไทย)
ฝ่ายกองทัพไทย โดยโฆษกกองทัพ พลตรี วินไทย สุวารี ออกแถลงการณ์ระหว่างสู้รบหลายฉบับ ระบุว่ากองทัพไทย ปฏิบัติการตอบโต้ “อย่างเหมาะสม” ด้วยสิทธิป้องกันตนเอง จากการรุกรานของฝ่ายตรงข้าม พร้อมทั้งกล่าวโทษว่าฝ่ายกัมพูชา ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และ “บ่อนทำลายความไว้วางใจ” ตั้งแต่ช่วงแรกของการประกาศหยุดยิง (กรณีเหตุปะทะย่อยหลังเที่ยงคืน 28 ก.ค.) อย่างไรก็ตาม ผู้นำรัฐบาลไทยได้ลดความสำคัญของเหตุการณ์เหล่านั้น และยืนยันว่าไทยยังยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง โดยได้มีการประสานพูดคุยกับรัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชาเพื่อควบคุมสถานการณ์ร่วมกันแล้ว
ฝ่ายกัมพูชา: รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของ ฮุน มาเน็ต (นายกรัฐมนตรี) ชี้แจงต่อประชาชนและนานาชาติว่ากัมพูชา ไม่ได้เป็นฝ่ายรุกรานไทยก่อน โดยย้ำว่ากองทัพกัมพูชา ปกป้องอธิปไตยของตนจากการคุกคามของฝ่ายไทย เท่านั้น ฝ่ายกัมพูชากล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อนหลายครั้ง เช่น กรณีการโจมตีทางอากาศและการยิงปืนใหญ่ข้ามแดนใส่พลเรือนของกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลใช้คำว่า “การรุกรานทางทหารที่ไตร่ตรองไว้ก่อนและปราศจากการยั่วยุ” จากฝั่งไทย โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา นางมาลี โสเจียตา ระบุในแถลงข่าวว่า ทหารกัมพูชาใช้อำนาจในการป้องกันตนเองตามสิทธิอธิปไตย ภายหลังไทยส่งเครื่องบินรบเข้ามาทิ้งระเบิดในดินแดนกัมพูชา พร้อมประณามไทยว่าละเมิดบูรณภาพเหนือดินแดนของกัมพูชาอย่างร้ายแรง
รัฐบาลฮุน มาเน็ต ได้เรียกร้อง ให้หยุดยิงโดยทันที ตั้งแต่ช่วงที่ความสูญเสียเริ่มเพิ่มขึ้น โดยเมื่อยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นกลางสัปดาห์ ตัวแทนรัฐบาลกัมพูชาได้แถลงเรียกร้อง “การหยุดยิงฉับพลันและไม่มีเงื่อนไข” เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเพิ่ม (รายงานโดย BBC และสำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆ) พร้อมกันนี้ กัมพูชาได้ ยื่นเรื่องต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อให้นานาชาติช่วยกดดันไทยให้ยุติความรุนแรง โดย นายเน็ต เพียคตรา รัฐมนตรีข้อมูลข่าวสารของกัมพูชา ยังเรียกร้องผ่านสื่อว่า UN ควรมี “ปฏิบัติการด่วน” ต่อ “ความรุกรานของไทย” ที่เกิดขึ้น ท่าทีแข็งกร้าวนี้สอดคล้องกับบทบรรณาธิการในสื่อกัมพูชาของรัฐ เช่น Khmer Times ที่รายงานว่า “กัมพูชาได้รับชัยชนะในพื้นที่” ระหว่างการสู้รบพร้อมทั้งเรียกร้อง UN ให้ดำเนินการกับการรุกรานของไทยโดยเร็ว (อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยปฏิเสธว่าไม่ได้เสียพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ให้กัมพูชา)
ในด้านการเมืองภายใน นายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต ซึ่งเพิ่งขึ้นสู่อำนาจได้ไม่นาน (เป็นบุตรชายของอดีตผู้นำสมเด็จฮุน เซน) ใช้โอกาสนี้ประกาศจุดยืนเข้มแข็งเพื่อ ปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพดินแดน ทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนจากชนชาติกัมพูชาจำนวนมากที่มีความรู้สึกชาตินิยม อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายตั้งข้อสังเกตว่า ฮุน มาเน็ตอาจใช้ความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างอำนาจและความชอบธรรมทางการเมืองของตน ในสายตาประชาชน ภายหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจจากบิดา ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธว่าการแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อไทยมีเหตุผลทางการเมืองภายใน โดยยืนยันว่าทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ชาติและประชาชนเท่านั้น
บทบาทของอาเซียน (มาเลเซีย): สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเฉพาะมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปี 2025 ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ได้ติดต่อทั้งผู้นำไทยและกัมพูชาตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่มีการสู้รบ และเสนอเป็นคนกลางจัดการเจรจาในประเทศมาเลเซีย ความพยายามดังกล่าวนำไปสู่การประชุมเจรจาสามฝ่าย ณ ทำเนียบนายกรัฐมนตรีมาเลเซียใน ปุตราจายา วันที่ 28 กรกฎาคม โดยมีนายอันวาร์ยืนเคียงข้าง รักษาการนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ของไทย และ ฮุน มาเน็ต นายกฯ กัมพูชา ในที่สุดทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขตั้งแต่เวลา 24:00 น. ของวันนั้น ซึ่งนายอันวาร์กล่าวภายหลังการเจรจาว่า “นี่คือก้าวแรกที่สำคัญยิ่งสู่การลดความรุนแรงและฟื้นฟูสันติภาพ”
บทบาทของสหรัฐอเมริกา: สหรัฐฯ แสดงความกังวลอย่างมากต่อสถานการณ์ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงว่ารู้สึก “ห่วงกังวลอย่างยิ่ง” ต่อการสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้น และเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศ ใช้ความอดกลั้นขั้นสูงสุด และ หลีกเลี่ยงการทำร้ายพลเรือน ที่สำคัญ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ โทรศัพท์สายตรงถึงผู้นำไทยและกัมพูชาในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อกดดันให้หยุดยิงโดยเร็ว โดยทรัมป์แจ้งทั้งสองฝ่ายว่าหากยังสู้รบต่อ สหรัฐฯ จะ ระงับการเจรจาการค้ากับทั้งไทยและกัมพูชา และอาจทบทวน อัตราภาษีนำเข้าสินค้า 36% ที่สหรัฐฯ ตั้งไว้สำหรับสินค้าของสองประเทศ (ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมาก) การกดดันทางเศรษฐกิจนี้ถูกมองว่าได้ผลเป็นรูปธรรม ผู้นำไทยยอมรับหลังการเจรจาว่า ทรัมป์มีบทบาทช่วยผลักดันให้เกิดสันติ และขอบคุณสหรัฐฯ ที่ช่วยไทยก้าวข้ามวิกฤตนี้ได้ โดยไทยพร้อมจะกลับมาเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อีกครั้งภายหลังสถานการณ์คลี่คลาย ด้านทรัมป์เองก็ประกาศผ่านสื่อของตน (Truth Social) ว่า “ผมได้ยุติสงครามหลายครั้งภายใน 6 เดือน ผมภูมิใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ!” พร้อมแสดงความยินดีกับทุกฝ่ายที่สามารถยุติความรุนแรงได้และสั่งทีมงานให้เดินหน้าการค้าอีกครั้ง
หลังการหยุดยิง นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ คาดหวังให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามคำมั่นในข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มที่ และพร้อมสนับสนุนความพยายามใดๆ ที่จะนำไปสู่สันติภาพถาวร
บทบาทของจีน: จีนซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกัมพูชาและมีบทบาทในภูมิภาค ก็ร่วมเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งโดยเร็ว พร้อมกับสนับสนุนการเจรจาภายใต้กรอบอาเซียน เจ้าหน้าที่การทูตจีนได้ประสานงานเบื้องหลังเพื่อให้ผู้นำทั้งสองชาติยอมเข้าร่วมโต๊ะเจรจาในมาเลเซีย โดยผู้นำกัมพูชา ฮุน มาเน็ต กล่าวชื่นชม “การมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์ของจีน” ในการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้เคียงคู่กับบทบาทชี้ขาดของทรัมป์ แม้จีนจะไม่ได้แถลงการณ์อย่างเอิกเกริก แต่การสนับสนุนของจีนก็ถือว่าช่วยโน้มน้าวกัมพูชา (พันธมิตรใกล้ชิดของจีน) ให้ไว้ใจเวทีเจรจามาเลเซียและยอมประนีประนอมกับไทย
บทบาทขององค์การสหประชาชาติ: คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้จัดประชุมแบบปิดในวันที่ 25 กรกฎาคม เพื่อหารือสถานการณ์ความรุนแรงระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งหลายประเทศสมาชิกได้ เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายลดความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง UNSC เน้นย้ำสนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการไกล่เกลี่ย โดยในเบื้องต้น มีการออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยอย่างยิ่งต่อการสู้รบ และ กระตุ้นให้มีการหยุดยิงโดยทันที แม้จะไม่มีมติอย่างเป็นทางการออกมาขณะนั้น แต่แรงกดดันทางการทูตจาก UN ได้ส่งสัญญาณให้นานาชาติจับตามองวิกฤตนี้อย่างใกล้ชิด
นอกจากองค์กรระหว่างประเทศแล้ว ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและมหาอำนาจอื่นก็แสดงท่าทีต่อเหตุการณ์นี้ด้วย เช่น อินเดีย ออกแถลงว่า “ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด” และหวังให้คู่ขัดแย้งแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ส่วน ออสเตรเลีย ได้เตือนพลเมืองตนเองให้เลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาและแสดง “ความห่วงกังวลอย่างยิ่ง” ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น
หลังการหยุดยิงบรรลุผล ผู้นำหลายประเทศในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ได้ออกมาชื่นชมความพยายามของมาเลเซียและการตอบสนองของไทย-กัมพูชาที่ยอมยุติความรุนแรง นอกจากนี้ยังเน้นว่าทั้งสองประเทศควรใช้กลไกทวิภาคีหรืออาเซียนในการเจรจาแก้ไขข้อพิพาทพรมแดนโดยสันติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
หลังมีผลบังคับใช้ ข้อตกลงหยุดยิง ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค. สถานการณ์โดยรวมตามแนวชายแดนกลับสู่ความสงบ ประชาชนบางส่วนเริ่มทยอยเดินทางกลับบ้าน ในวันที่ 29 ก.ค. โดยมั่นใจว่าการสู้รบได้ยุติลงแล้ว (แม้ว่าทางการไทยและกัมพูชายังเตือนให้ประชาชนระมัดระวังและเตรียมพร้อมเผื่อเหตุฉุกเฉินในระยะสัปดาห์ถัดไป)
ทั้งสองประเทศตกลงจะจัดตั้ง คณะกรรมการประสานงานชายแดนร่วม ขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันความขัดแย้งลุกลามในอนาคต โดยกำหนดจะประชุมในวันที่ 4 สิงหาคม 2025 ที่ฝั่งกัมพูชา เพื่อหารือมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ เช่น การตั้งเขตปลอดทหารชั่วคราวในจุดพิพาท การแลกเปลี่ยนข้อมูลการลาดตระเวน และกลไกสื่อสารฉุกเฉินระหว่างผู้บังคับบัญชาภาคสนาม
อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์ชี้ว่าแม้การหยุดยิงครั้งนี้จะยุติความรุนแรงในทันทีได้สำเร็จ แต่ รากเหง้าของปัญหาข้อพิพาทเขตแดนยังไม่ถูกแก้ไข ประวัติศาสตร์ความขัดแย้งเรื่องพรมแดนไทย-กัมพูชาที่ยาวนาน รวมถึงความไม่ไว้วางใจกันระหว่างกองทัพสองประเทศ ยังคงเป็นชนวนที่อาจปะทุขึ้นอีกในอนาคต หากไม่มีการเจรจาตกลงปักปันเขตแดนที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน นักวิชาการด้านความมั่นคงในภูมิภาคแนะนำให้อาเซียนอาจเข้ามามีบทบาทอย่างต่อเนื่องใน การจัดทำเขตกันชนหรือข้อตกลงไม่รุกราน ในพื้นที่พิพาท และสนับสนุนให้สองประเทศนำข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนที่เหลืออยู่เข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ เช่น ผ่านศาลโลกอีกครั้ง (หากทั้งสองยอมรับอำนาจศาล)
สำหรับขณะนี้ ความสงบที่กลับคืนสู่ชายแดนไทย-กัมพูชาถือเป็นสัญญาณที่น่ายินดี ประชาคมระหว่างประเทศต่างหวังว่าทั้งสองชาติจะใช้โอกาสนี้ในการสร้างสันติภาพระยะยาว หลีกเลี่ยงการกลับไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงซ้ำอีก โฆษกรัฐบาลกัมพูชาแถลงหลังการหยุดยิงว่า “สันติภาพและความมั่นคงสำคัญยิ่งกว่าชัยชนะใดๆ” และเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศเดินหน้ากระชับความร่วมมือเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ขณะที่ฝ่ายไทยเองก็ส่งสัญญาณพร้อมฟื้นฟูความสัมพันธ์ โดยมีการกล่าวว่าจะพิจารณาเปิดจุดผ่านแดนและฟื้นการค้าชายแดนทันทีที่สถานการณ์ไว้วางใจได้กลับมา ทั้งนี้ คงต้องจับตาดูว่าใน ช่วงหลังความขัดแย้ง นี้ ผู้นำไทยและกัมพูชาจะสามารถแปรวิกฤตเป็นโอกาส สร้างกลไกป้องกันความรุนแรงในอนาคต และหาทางออกอย่างสันติให้กับปัญหาชายแดนที่ตกค้างอยู่ได้หรือไม่
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ
หน้าที่เข้าชม | 476,989 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |