📅 วันที่เผยแพร่: 28 กรกฎาคม 2568
แหล่งที่มา: Reuters, ASEAN Briefing, The Guardian, Economic Times
เมื่อเสียงปืนจากแนวชายแดนไม่ได้จบแค่ในสนามรบ แต่ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงระบบเศรษฐกิจไทยทั้งระบบ
สถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา นับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน รวมถึงผู้ประกอบการในหลากหลายภาคส่วนที่พึ่งพิงการค้าขาย การท่องเที่ยว และการขนส่งระหว่างประเทศ
ในปี 2567 การค้าชายแดนไทย–กัมพูชามีมูลค่ารวมกว่า 174,000 ล้านบาท (ส่งออก 142,000 ล้านบาท / นำเข้า 33,000 ล้านบาท) ผ่านด่านพรมแดนหลัก 5 แห่ง ซึ่งขณะนี้ถูกปิดทั้งหมดเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ ทำให้การเคลื่อนย้ายสินค้าและบุคคลชะงักงันโดยสิ้นเชิง
ช่วงต้นปี 2568 มีมูลค่าการค้าชายแดนกว่า 80,000 ล้านบาท แล้ว แต่หากการปิดด่านยังคงยืดเยื้อ อาจทำให้การส่งออกสูญเสียรายได้มากกว่า 60,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าเกษตร เช่น ยางพารา ผักผลไม้ และสินค้าแปรรูป ที่เคยส่งผ่านเส้นทางชายแดน ต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งทันที ส่งผลให้ต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่มสูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทานจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่
ผู้ค้าปลีกและร้านค้าในจังหวัดชายแดน เช่น สระแก้ว (ตลาดโรงเกลือ) และ ตราด เผชิญกับยอดขายที่ลดลงอย่างฉับพลัน การปิดด่านทำให้ลูกค้าหลักจากกัมพูชาไม่สามารถข้ามมาจับจ่ายใช้สอยได้
ธุรกิจไทยที่มีโรงงานหรือสำนักงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษฝั่งกัมพูชา เช่น O’Neang Zone ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านความปลอดภัยและภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งในเรื่องแรงงานและการนำเข้าสินค้า
ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่ปลอดภัยกำลังได้รับความเสียหาย นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากอินเดีย จีน และยุโรป เริ่มยกเลิกการเดินทางเข้ามา หรือเปลี่ยนแผนไปยังประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตัวอย่างชัดเจนคือกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดียจากเมืองกัลกัตตา ที่มีแผนเดินทางช่วงเทศกาล “ดูเซร่า” และ “ดุริกา” ได้ตัดสินใจเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทางมายังประเทศไทยเกือบทั้งหมด
พื้นที่ใกล้แนวชายแดนบางแห่งประกาศใช้ กฎอัยการศึก ทำให้การดำเนินธุรกิจมีข้อจำกัด ทั้งเรื่องเวลาเปิด-ปิด การเดินทางของพนักงาน และการขอใบอนุญาตใหม่
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะในโครงการขนาดกลางและเล็กได้รับผลกระทบโดยตรง นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอแผนการลงทุน โดยเฉพาะในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางการเมืองจากภายนอก เช่น การที่สหรัฐฯ เตรียมพิจารณาปรับอัตราภาษีการนำเข้าสินค้าจากไทยสูงขึ้น หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย เป็นปัจจัยซ้ำเติมที่ผู้ประกอบการต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ด้านผลกระทบ |
รายละเอียด |
---|---|
การค้าชายแดน | เสี่ยงสูญเสียมูลค่าการส่งออกกว่า 60,000 ล้านบาท หากด่านยังปิด |
ธุรกิจท้องถิ่น | ร้านค้าในจังหวัดชายแดนยอดขายลดลงอย่างหนัก |
การท่องเที่ยว | นักท่องเที่ยวต่างชาติยกเลิกแผนเดินทาง สูญเสียรายได้จำนวนมาก |
อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ | ต้นทุนขนส่งสูงขึ้น ห่วงโซ่อุปทานต้องปรับโครงสร้าง |
ความเชื่อมั่นนักลงทุน |
นักลงทุนชะลอการลงทุนใหม่ ความไม่แน่นอนส่งผลต่อการตัดสินใจ |
หากสถานการณ์ความขัดแยงยืดเยื้อยาวนานกว่านี้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่ชายแดนเท่านั้น แต่อาจลุกลามไปสู่ระดับประเทศ โดยเฉพาะหากส่งผลต่อความร่วมมือในอาเซียน (ASEAN) และพันธมิตรการค้าอื่นๆ ดังนั้น ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนไทยทุกฝ่ายต้องร่วมกันจับตา ประเมินความเสี่ยง และเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบคอบ เพื่อปกป้องเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,989 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |