วันที่เผยแพร่: 27 กรกฎาคม 2568
แหล่งอ้างอิง: AP News, Reuters, The Washington Post, Wikipedia
📝 หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ การวิเคราะห์สถานการณ์ และการสื่อสารเชิงข่าว โดยอ้างอิงจากข้อมูลสาธารณะที่เผยแพร่โดยสื่อมวลชนต่างประเทศ ได้แก่ AP News, Reuters, The Washington Post และ Wikipedia ผู้จัดทำไม่มีเจตนาใส่ร้าย ดูหมิ่น หรือปลุกปั่นความเกลียดชังต่อบุคคล ชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลในบทความมีขึ้นเพื่อการรับรู้ของสาธารณชน และขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการตีความ
ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชามีรากฐานมาจากสนธิสัญญาฝรั่งเศส–สยาม ปี 1907 ซึ่งกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนอย่างไม่ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณรอบปราสาทตาเมือนธมและปราสาทพระวิหาร ทั้งสองพื้นที่ยังคงเป็นประเด็นพิพาทสำคัญ แม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) จะมีคำตัดสินในปี 2505 ให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ความรู้สึกชาตินิยมที่ฝังลึกในทั้งสองประเทศยังคงจุดชนวนความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง
13 กุมภาพันธ์ 2568: ทหารไทยสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนกัมพูชาร้องเพลงชาติกัมพูชาภายในเขตปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในเขตไทย ทำให้เกิดความไม่พอใจจากฝั่งกัมพูชา และเริ่มเกิดการรวมกลุ่มกดดันชายแดน
28 พฤษภาคม 2568: เกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้ไทยปิดด่านชายแดนหลายจุดในทันที
สถานการณ์ความตึงเครียดยังคงเพิ่มขึ้นตลอดเดือนมิถุนายนและต้นกรกฎาคม โดยมีรายงานการเคลื่อนย้ายกำลังและการลาดตระเวนของทั้งสองฝ่ายตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง
23 กรกฎาคม: ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิดซึ่งเชื่อว่าเป็นชนิด PMN‑2 บริเวณใกล้ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี รัฐบาลไทยตอบโต้ด้วยการสั่งปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติม รวมถึงปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาเครบย์ และยกระดับการเตรียมพร้อมทางทหาร พร้อมกับเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากพนมเปญ
24-27 กรกฎาคม: ฝ่ายกัมพูชาส่งอากาศยานไร้คนขับ (UAV) เข้ามาใกล้เขตชายแดนไทยประมาณ 200 เมตร ก่อนเกิดการยิงปะทะกับฝ่ายไทย ไทยตอบโต้ด้วยการส่งเครื่องบิน F‑16 เข้าโจมตีฐานทัพของฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่ช่องอานม้า พร้อมมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชาใช้จรวด BM‑21 ยิงเข้ามาในพื้นที่ชุมชนไทย
25 กรกฎาคม: การปะทะขยายวงไปยังหลายจุด เช่น ภูมะเขือ ช่องอานม้า และช่องบก จรวด BM‑21 หลายลูกถูกยิงเข้าใส่บ้านเรือน โรงเรียน และโรงพยาบาลของไทย รัฐบาลไทยประกาศใช้กฎอัยการศึกใน 8 อำเภอชายแดน พร้อมเปิดปฏิบัติการ “ตราดพิฆาตไพรี1”
26 กรกฎาคม: ความรุนแรงดำเนินต่อเนื่อง มีรายงานว่าทหารไทยเสียชีวิต 7 นาย พลเรือน 13 ราย ส่วนฝ่ายกัมพูชารายงานทหารเสียชีวิต 5 นาย และพลเรือนอีก 8 ราย ผู้บาดเจ็บนับสิบ และมีผู้อพยพออกจากพื้นที่ชายแดนแล้วกว่า 130,000 คนในฝั่งไทย และกว่า 30,000 คนในฝั่งกัมพูชา
27 กรกฎาคม: ความรุนแรงยังคงไม่สงบดี ผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 33 ราย ผู้อพยพสะสมเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 168,000 ราย ทั้งสองประเทศเริ่มมีสัญญาณเปิดให้มีการเจรจา โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเน็ต แสดงความพร้อมที่จะยุติความขัดแย้งผ่านช่องทางการทูต หากได้รับการตอบสนองในทิศทางเดียวกันจากฝ่ายไทย
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โทรศัพท์หาผู้นำไทยและกัมพูชา เรียกร้องให้หยุดยิงโดยทันที พร้อมขู่จะระงับการเจรจาการค้าหรือเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าสูงถึง 36% หากสถานการณ์ไม่ยุติ
รัฐบาลของสหรัฐฯ จีน มาเลเซีย (ในฐานะประธานอาเซียน) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ออกแถลงการณ์ขอให้ทั้งสองฝ่ายยุติความรุนแรง และเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างเร่งด่วน
ความขัดแย้งในครั้งนี้มิได้มีเพียงประเด็นพรมแดน แต่ยังสะท้อนความขัดแย้งด้านการเมืองภายในของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะการเผชิญหน้าระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย รวมถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการทหารที่ทับซ้อนกัน
รายการ | จำนวนโดยประมาณ |
---|---|
ผู้เสียชีวิตรวม | อย่างน้อย 33 ราย (ไทย 20–21, กัมพูชา 8–13) |
ผู้บาดเจ็บ | หลายสิบราย (ทั้งทหารและพลเรือน) |
ผู้พลัดถิ่น | ไทย: >131,000 คน / กัมพูชา: ~37,000 คน |
สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในเดือนกรกฎาคม 2568 ถือเป็นจุดวิกฤตรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แม้ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มการปะทะก่อน แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีสัญญาณของการเปิดช่องทางการเจรจาและแรงกดดันจากนานาชาติที่ส่งผลในเชิงบวกต่อการลดความรุนแรง
ความท้าทายขณะนี้คือ การผลักดันเสียงเรียกร้องสันติจากนานาชาติให้เกิดผลในเชิงปฏิบัติ และการรักษาเสถียรภาพระยะยาว โดยไม่ให้ประชาชนและพื้นที่ชายแดนต้องกลายเป็นเหยื่อของเกมการเมืองและสงครามอีกต่อไป
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,989 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |