วันที่เผยแพร่: 26-7-2025
ในสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2025 ที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 13 ปี มีผู้เสียชีวิตเกินกว่า 30 ราย และประชาชนมากกว่า 130,000 คนต้องอพยพภายในประเทศ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังต่อเนื่องและมีหลายมิติ
ธุรกิจท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าเนื่องจากพื้นที่ท่องเที่ยวหลักห่างไกลจากแนวชายแดน แต่ภาพลักษณ์ความไม่มั่นคงอาจลดความเชื่อมั่นต่อเนื่องได้
กัมพูชามีความเปราะบางสูง ทั้งด้านรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลงถึง 70% และขาดเครื่องมือนโยบายรองรับ เช่น ทุนสำรอง ด้านสวัสดิการสังคม
การค้าชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปิดไปซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ส่งผลต่อธุรกิจโลจิสติกส์และต้นทุนขนส่งในไทยเป็นวงกว้าง
ตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีแนวโน้มปรับลด 1.5–6% ภายในเดือนแรก หากความไม่แน่นอนทางการเมืองลากยาว โดยเฉพาะหากเกิดสถานการณ์คล้ายการยุบสภา หรือรัฐประหารที่คาดว่าจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
ค่าเงินบาทอ่อนค่าประมาณ 0.3–0.4% จากความวิตกของนักลงทุนต่างชาติ และแรงเทขายออกจากตลาดหุ้น
💼 แนวทางการลงทุนที่ควรพิจารณา
ควรลดน้ำหนักในหุ้นที่ทำธุรกิจกับกัมพูชาโดยตรง เช่น ด้านการท่องเที่ยว หรือโครงสร้างพื้นฐานชายแดน
หุ้นภาคการท่องเที่ยวควรระวัง หากเกิดแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในภาพรวม
ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe‑haven) ในภาวะตลาดผันผวน
ยังมีอัตราผลตอบแทนประมาณ 3.2% ซึ่งถือว่าน่าสนใจในระยะสั้น-กลาง และช่วยลดความเสี่ยงพอร์ตหุ้น
กระจายน้ำหนักไปยังกองทุน ETF ด้านเทคโนโลยี/โทรคมนาคม (เช่น กองทุนลงทุนในกองทุน ASEAN tech หรือ global tech) จำนวนเล็กๆ (5–10%)
และลดความเสี่ยงจากภูมิภาคที่มีความคลุมเคลือ เช่น กัมพูชา โดยเลือกลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพมากกว่า เช่น เวียดนาม มาเลเซีย หรือสิงคโปร์
กลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (defense tech, drones) บางบริษัทไทยใน SET ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ +15% เนื่องจากคาดว่าจะมีการใช้งานเครื่องมือด้านความมั่นคงสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ควรลงทุนระมัดระวัง เพราะอาจเกี่ยวข้องกับความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์
ถือเงินสดสัดส่วนหนึ่ง หรือสกุลเงินต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะหากค่าเงินบาทอ่อนค่า
สินทรัพย์ที่ผันผวนน้อยเช่นทองคำ อาจช่วยลดความเสียหายหากตลาดตึงเครียดมากขึ้น
สินทรัพย์ | สัดส่วนโดยประมาณ | เหตุผล |
---|---|---|
พันธบัตรรัฐบาลไทย | 20–30% | ปลอดภัย และให้ผลตอบแทนคงที่ |
หุ้นไทย (ระวัง sector ท่องเที่ยว/ชายแดน) | 30–40% | เฉลี่ยสูง–ต่ำขึ้นกับความเชื่อมั่น |
ETF / หุ้นภูมิภาคเสถียร | 20–25% | กระจายความเสี่ยงนอกประเทศไทย |
หุ้นกลุ่มกลาโหมหรือเทคโนฯ | 5–10% | เก็งกำไรจากแนวโน้มการลงทุนรัฐ |
เงินสด / สกุลต่างประเทศ | 5–10% | รองรับความผันผวนและโอกาสลงทุนใหม่ |
หากสถานการณ์ยืดเยื้อเกินครึ่งปีขึ้นไป นักลงทุนต่างชาติหรือไทยบางกลุ่มอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตหรือเงินทุนไปยังประเทศที่มีเสถียรภาพสูงกว่า
ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศอาจบั่นทอนการปล่อยงบประมาณภาครัฐ เช่น 2026 budget ถูกเลื่อน ส่งผลกระทบก่อสร้าง และการลงทุนภาครัฐ
ลดการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชาหรือธุรกิจชายแดน
เพิ่มน้ำหนักในพันธบัตรรัฐบาลไทย (3.2% yield) เพื่อเสริมความมั่นคง
กระจายพอร์ตสู่ ETF ภูมิภาคที่เสถียรกว่า
พิจารณาหุ้นบางกลุ่มที่อาจโตในสถานการณ์ความมั่นคง เช่น defense/tech อย่างระมัดระวัง
ถือเงินบางส่วนในสกุลเงินแข็ง หรือสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น
“ในทุกสนามรบ ยุทธศาสตร์คือชัยชนะ — ในทุกวิกฤตเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์การลงทุนคือเกราะป้องกัน”
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,989 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |