วันที่รายงาน: 26-7-2025
28 พฤษภาคม 2025 – เกิดเหตุ ปะทะทางทหาร ระหว่างกองทัพไทย-กัมพูชาบริเวณชายแดนด้านจังหวัดพระตะบอง/อุบลราชธานี (พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต) ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย เหตุการณ์นี้ทำให้ความขัดแย้งชายแดนที่ยืดเยื้อมานานปะทุขึ้นอีกครั้ง และนำไปสู่สถานการณ์ตึงเครียดทั้งทางทหารและการทูตในช่วงต่อมา โดยรัฐบาลกัมพูชาตอบโต้ด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2025 เพื่อให้วินิจฉัยข้อพิพาทใน 4 พื้นที่พิพาทตามแนวชายแดน (ได้แก่ บริเวณปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาเมือนโต๊จ, ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมเบย)
24–25 กรกฎาคม 2025 – การสู้รบครั้งใหญ่ ปะทุขึ้นอีกครั้งตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหารและจุดพิพาทอื่นๆ มีการใช้อาวุธหนักและปืนใหญ่ในการปะทะกันเป็นเวลาหลายวัน สื่อกัมพูชารายงานว่ากัมพูชาได้ ตอบโต้การรุกรานของไทย ที่เกิดขึ้นก่อน โดยกองทัพไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อนในช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค. ในขณะที่ฝ่ายไทยกล่าวโทษว่ากัมพูชาใช้อาวุธหนักโจมตีข้ามแดนก่อน (ต่างฝ่ายต่างโยนความผิดให้กัน) การสู้รบรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคน โดยฝ่ายไทยยอมรับว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 11 ราย บาดเจ็บ 28 ราย จากการปะทะ (ข้อมูลจากถ้อยแถลงของรองนายกฯ รักษาการนายกฯ ไทย) ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าความสูญเสียฝั่งตนมีจำกัด นอกจากนี้ กัมพูชายังระบุว่า กองทัพไทยได้โจมตีเป้าหมายพลเรือนและโบราณสถาน ด้วยอาวุธหนัก เช่น มีการยิงปืนใหญ่และใช้ระเบิดพวงใส่วัด ชุมชน และปราสาทพระวิหาร จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งกัมพูชาถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง เหตุปะทะครั้งนี้ทำให้ประชาชนหลายหมื่นคนตามแนวชายแดนต้องอพยพหนีภัยการสู้รบทั้งในฝั่งไทยและกัมพูชา (มีรายงานว่าฝ่ายไทยสั่งอพยพประชาชนและปิดโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดตราดและจันทบุรี รวมทั้งตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้บาดเจ็บ) สถานการณ์ตึงเครียดถึงขั้นที่ไทยประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดน และกัมพูชาต้องร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติในเวลาต่อมา
29 พฤษภาคม 2025 – ภายหลังเหตุปะทะปลายเดือนพฤษภาคม รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ประณาม ไทยว่าเป็นฝ่ายรุกรานก่อน โดยระบุว่าเวลา 05.30 น. ของวันที่ 28 พ.ค. กองกำลังไทยได้เปิดฉากยิงเข้าใส่ทหารกัมพูชาฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่มีการยั่วยุมาก่อน จนทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย กัมพูชาย้ำว่าการกระทำของไทยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและความสงบชายแดน และประกาศว่าจะใช้ทุกช่องทางทางการทูตและกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนของตน (รวมถึงการยื่นเรื่องต่อ ICJ ตามที่ได้ดำเนินการในเดือน มิ.ย. 2025 ดังกล่าว)
25 กรกฎาคม 2025 – ท่ามกลางการสู้รบเดือนกรกฎาคม รัฐบาลกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์หลายฉบับแสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อไทย โดยเฉพาะเรื่องการใช้อาวุธต้องห้ามและการร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ หน่วยงานกำจัดทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAA) ออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อกรณีที่กองทัพไทยยิง ระเบิดพวง (cluster munitions) เข้าใส่พื้นที่ฝั่งกัมพูชาในการสู้รบ โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าว “ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง” เพราะระเบิดพวงถูกห้ามตามอนุสัญญาปี 2008 และถือเป็น อาชญากรรมสงคราม เนื่องจากสร้างอันตรายแก่พลเรือนในวงกว้าง พร้อมกันนี้ CMAA และกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้เรียกร้องให้ไทย หยุดการโจมตีทันทีและเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยหันมาแก้ปัญหาผ่านการเจรจาสันติวิธีเท่านั้น นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชา (ผ่านโฆษกหญิง มาลี โสเจียตา) ยังออกแถลงการณ์ย้ำว่า กัมพูชาใช้ความอดกลั้นอย่างที่สุด และปฏิบัติตามสนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิดอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้ง ปฏิเสธคำกล่าวอ้างจากฝั่งไทย ที่ว่าไทยได้ยึดครองปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระแต่ฝ่ายเดียว โดยยืนยันว่าทหารกัมพูชายังคงควบคุมทั้งสองสถานที่ไว้อย่างสมบูรณ์ แถลงการณ์รัฐบาลกัมพูชายังระบุด้วยว่าการที่ไทยใช้ระเบิดพวงโจมตีซ้ำรอยในปี 2025 นี้ไม่ใช่ครั้งแรก ไทยเคยยอมรับมาแล้วว่าได้ใช้ระเบิดพวงในการปะทะเมื่อปี 2011 ซึ่งนับเป็นการใช้อาวุธชนิดนี้ครั้งแรกของโลกหลังอนุสัญญาปี 2008 มีผลบังคับใช้ (ทั้งไทยและกัมพูชาไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว)
26 กรกฎาคม 2025 – นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ส่งหนังสือด่วนถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อรายงานสถานการณ์และเรียกร้องให้แถลงการณ์ประณามไทย โดยระบุว่าไทยได้กระทำการ “รุกรานทางทหารอย่างไม่มีเหตุผลและมีการวางแผนล่วงหน้า” ต่อกัมพูชา กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ก็ได้ออกแถลงการณ์ในวันเดียวกัน เรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศ (UN, อาเซียน และประเทศต่างๆ) ให้ดำเนินการทันทีเพื่อยับยั้งการขยายปฏิบัติการทางทหารของไทย ที่ลุกล้ำเข้ามาในกัมพูชา โดยชี้ว่าไทยได้ประกาศกฎอัยการศึกและเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดน พร้อมกล่าวหาไทยว่ากำลังสร้างเหตุอ้าง (เช่น กล่าวหาเรื่องกัมพูชาวางทุ่นระเบิด) เพื่อขยายการรุกรานยึดดินแดนกัมพูชาเพิ่ม แถลงการณ์เดียวกันนี้ยังเผยว่า UNSC เตรียมประชุมฉุกเฉิน กรณีไทย-กัมพูชาในบ่ายวันที่ 25 ก.ค. (ตามเวลา NYC) ตามคำร้องขอของกัมพูชา ซึ่งที่ประชุมดังกล่าวจัดขึ้นหลังไทยเพิ่มกำลังทหาร-ยุทโธปกรณ์จำนวนมาก (ทั้งทหารราบ, ปืนใหญ่หนัก, เครื่องบินรบ F-16 และการใช้ลูกระเบิดพวง) จนส่งผลให้ เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานพลเรือนของกัมพูชาอย่างร้ายแรง (เช่น วัด ศูนย์สุขภาพ ตลาด และหมู่บ้านหลายแห่งถูกทำลาย) รวมถึงมี ความเสียหายต่อปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นมรดกโลกของกัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้น “เป็นภัยต่อชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์” (โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก และคนชรา) และละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
7 กรกฎาคม 2025 – กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคมกัมพูชา (MPTC) ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาในสื่อไทยที่อ้างว่ากัมพูชาว่าจ้าง “แฮกเกอร์ชาวเกาหลีเหนือ” ให้โจมตีเว็บไซต์หน่วยงานราชการไทย โดยยืนยันหนักแน่นว่า “รัฐบาลกัมพูชาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกลุ่มแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ” และประณามข้อกล่าวหาดังกล่าวว่าเป็นความพยายามบิดเบือนใส่ร้ายกัมพูชาบนเวทีระหว่างประเทศ ในทางกลับกัน MPTC เปิดเผยว่า มีกลุ่มแฮกเกอร์สัญชาติไทยชื่อ “BlackEye-Thai” ที่ได้ทำการโจมตีระบบออนไลน์ของหน่วยงานรัฐบาลกัมพูชา “แทบทุกระบบ” อย่างต่อเนื่องในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การโจมตีเหล่านั้นถูกระบบความปลอดภัยไซเบอร์ของกัมพูชาสกัดกั้นไว้ได้ และสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระทรวงฯ ได้เตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมที่เผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย และให้ตระหนักว่าขณะนี้มี “ความตึงเครียดบนโลกไซเบอร์” ระหว่างไทยกับกัมพูชาเกิดขึ้นควบคู่ไปกับความขัดแย้งทางกายภาพด้วย (กรณีนี้เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจในสื่อสากล โดยมีสำนักข่าวอย่าง Channel NewsAsia และ Straits Times นำไปเผยแพร่ต่อ)
ปลายมิถุนายน 2025 – มีการเผยแพร่ วิดีโอปลอม (deepfake) บนโลกออนไลน์ ซึ่งใช้เทคโนโลยี AI สร้างคลิปเสียงภาษาไทยปลอมเลียนเสียงของ สมเด็จฮุน เซน (นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนก่อน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา) โดยในวิดีโอดังกล่าวบุคคลที่มีใบหน้าเหมือนฮุน เซน กล่าวเชิญชวนประชาชนบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการทำสงครามกับประเทศไทย วิดีโอปลอมนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางช่วงปลายเดือนมิถุนายน สร้างความตื่นตระหนกและเข้าใจผิดในวงกว้าง รัฐบาลกัมพูชา (MPTC) ออกมาประณามว่าเป็น “ข้อมูลเท็จที่เป็นอันตราย” มีเจตนาให้ร้ายและปลุกปั่นความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ทั้งยังพยายามบ่อนทำลายความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-กัมพูชา โดยรายงานของ MPTC ระบุว่าคลิปนี้ตัดต่อจากภาพจริงของฮุน เซนแต่ใส่เสียงปลอม และ เชื่อว่าเป็นฝีมือของแฮกเกอร์ฝ่ายไทยที่ต้องการยุยงกระแสชาตินิยมสุดโต่ง สมเด็จฮุน เซน ได้ออกมาเตือนประชาชนทันทีว่าคลิปดังกล่าวเป็นของปลอมที่จัดทำขึ้นโดยผู้ไม่หวังดี และกำชับประชาชนอย่าได้หลงเชื่อหรือโอนเงินใดๆ ตามที่คลิปกล่าวอ้าง (ถือเป็น ความพยายามหลอกลวงประชาชน โดยแอบอ้างชื่อผู้นำประเทศ) นอกจากนั้น ทางการกัมพูชายังย้ำว่าจะดำเนินการสอบสวนหาที่มาและผู้กระทำผิดต่อไป โดยถือเป็นภัยความมั่นคงรูปแบบหนึ่งในช่วงที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศกำลังตึงเครียดอยู่
สถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงในปี 2025 ได้กระตุ้นให้เกิด กระแสชาตินิยมและการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในกัมพูชา สื่อกัมพูชาหลายแห่งได้นำเสนอบทความวิเคราะห์และความเห็นที่สะท้อนมุมมองของประชาชนส่วนใหญ่ว่า ไทยเป็นฝ่ายรุกราน และเรียกร้องให้ต่างชาติช่วยกดดันให้ไทยยุติความรุนแรง ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ The Phnom Penh Post ฉบับวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ได้ตีพิมพ์บทความความเห็นในรูปแบบจดหมายเปิดผนึกถึงชาวไทย ชื่อเรื่องว่า “ถึงประชาชนชาวไทย” โดยผู้เขียนซึ่งเป็นชาวกัมพูชาแสดงความรู้สึกผิดหวังและเศร้าต่อความขัดแย้งครั้งนี้ โดยระบุว่าแม้ตนเองจะเคยชื่นชมประเทศไทยมาตลอดหลายปี แต่ “ตอนนี้ประเทศของเรากำลังทำสงครามกัน” (Our nations are at war) สะท้อนความโศกเศร้าของชาวกัมพูชาที่เห็นสองประเทศเพื่อนบ้านต้องสู้รบกัน ขณะเดียวกันบทบรรณาธิการและบทความวิเคราะห์อื่นๆ ในสื่อกัมพูชา (ทั้ง Phnom Penh Post และ Khmer Times) จำนวนมากล้วนมีเนื้อหาที่ กล่าวโทษรัฐบาลไทยว่าเป็นฝ่ายละเมิดอธิปไตยกัมพูชามาโดยตลอด และสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลกัมพูชาในการตอบโต้ไทย ทั้งในสนามรบและเวทีระหว่างประเทศ โดยบางบทความถึงกับเรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็น “สงครามการรุกราน” ของไทย พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า นานาชาติควรตอบสนองต่อการกระทำอันอุกอาจของไทยอย่างไร ในภาพรวม กระแสสังคมกัมพูชาช่วงเวลาดังกล่าวมีทั้ง ความรู้สึกต่อต้านไทย (จากเหตุปะทะที่เกิดขึ้นและประวัติความขัดแย้งเดิม) ผสมกับ ความสามัคคีภายในชาติ โดยประชาชนส่วนใหญ่แสดงการสนับสนุนท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาล ฮุน มาเนต ในการปกป้องดินแดนและศักดิ์ศรีของชาติ และคาดหวังให้มหาอำนาจหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งเพื่อสันติภาพโดยเร็ว
แหล่งข้อมูล: The Phnom Penh Post, Khmer Times, Cambodianess, Asia News Network, Xinhua (ผ่าน China Daily) และสำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆ
บทความที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,989 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |