นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เขย่าการค้าระหว่างประเทศอย่างรุนแรง เปิดทั้งโอกาสใหม่และความท้าทายให้ธุรกิจไทย พร้อมทางรอดและกลยุทธ์ปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสในศึกการค้าโลกครั้งนี้
เป้าหมายหลัก: จีน, แคนาดา, สหราชอาณาจักร (UK) และประเทศอื่นบางส่วนในยุโรปและเอเชีย
อัตราภาษีอาจสูงถึง 70% ในบางสินค้า
✅ โอกาสแทรกตัวแทนสินค้าคู่แข่ง
สินค้าจีนถูกเก็บภาษีสูง → ผู้ซื้อสหรัฐฯ อาจหันมาสั่งซื้อจากไทยในกลุ่มสินค้าเดียวกัน เช่น อิเล็กทรอนิกส์, เฟอร์นิเจอร์, เสื้อผ้า, ของใช้ในบ้าน, อาหารทะเล
✅ โอกาสจากห่วงโซ่อุปทานที่ย้ายฐาน
โรงงานในจีนที่ถูกกดดันจากต้นทุนและกำแพงภาษี อาจย้ายฐานการผลิตมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ → ไทยได้รับประโยชน์จาก FDI (การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ)
✅ สินค้าบางกลุ่มไทยมีความได้เปรียบ
เช่น ยางพารา, อาหารแปรรูป, อุปกรณ์ยานยนต์ ซึ่งไม่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายภาษีของสหรัฐฯ แต่เป็นสินค้าจำเป็นต่ออุตสาหกรรมสหรัฐฯ
⚠️ ห่วงโซ่อุปทานกระทบทางอ้อม
ไทยส่งออกวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนไปจีนหรือ UK แล้วถูกแปรรูปส่งต่อสหรัฐฯ → เมื่อสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าจีน-UK สุดท้าย ความต้องการวัตถุดิบ/ชิ้นส่วนจากไทยลดลง
⚠️ ต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าสูงขึ้น
สหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้าวัตถุดิบและเครื่องจักรจากจีนและประเทศอื่น → ไทยอาจต้องนำเข้าสินค้าเหล่านี้แพงขึ้น (เช่น เหล็ก, อะไหล่เครื่องจักร)
⚠️ ตลาดโลกผันผวน
ความขัดแย้งการค้าอาจลามไปยัง WTO ทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลง → ส่งออกไทยในตลาดโลกโดยรวมชะลอตัว
🎯 ผู้ส่งออกไทย
เร่งขยายตลาดในสหรัฐฯ โดยชูจุดแข็งด้านราคาที่แข่งขันกับจีนได้
ตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์อยู่ในกลุ่มภาษีของสหรัฐฯ หรือไม่ เพื่อปรับกลยุทธ์ทันที
🎯 ผู้ผลิตไทย
ประเมินแหล่งนำเข้าวัตถุดิบใหม่ เพื่อลดต้นทุนจากภาษี
พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาเครื่องจักรนำเข้า
🎯 รัฐบาลไทย
เร่งเจรจาการค้าเสรี (FTA) หรือทบทวนสิทธิพิเศษทางภาษีกับสหรัฐฯ (GSP, FTA) เพื่อช่วยลดอัตราภาษี
นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สร้างทั้งโอกาสและแรงกดดันต่อธุรกิจไทย ไทยสามารถแทรกตัวแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน แต่ต้องเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกจากห่วงโซ่อุปทานโลกที่ซับซ้อนและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น
วันที่ 5 กรกฎาคม 2025
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ:
หมวดหมู่บทความ
หน้าที่เข้าชม | 476,989 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 282,157 ครั้ง |
เปิดร้าน | 4 พ.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 13 ก.ย. 2568 |